ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP

 

 

 

บทนำ

              การฉายรังสีอาหารได้รับการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ แต่ยังคงมีปริมาณการใช้ไม่มากนัก เนื่องจากปัญหาในการยอมรับของผู้บริโภค กรรมวิธีการฉายรังสีอาหารเป็นการนำประโยชน์ของพลังงานที่เกิดการไอออไนซ์ส่งผ่านไปยังอาหารเพื่อทำลายแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แหล่งของรังสีที่เป็นต้นกำเนิด ได้แก่ รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์ และรังสีอิเล็กตรอน การฉายรังสีอาหารช่วยให้เก็บรักษาอาหารได้นานขึ้น ควบคุมการงอกและชะลอการสุกของผลิตผลทางการเกษตร อาหารที่ผ่านการฉายรังสีจะไม่สูญเสียคุณค่าทั้งด้านโภชนาการและคุณภาพทางประสาทสัมผัส เนื่องจากไม่ผ่านการใช้  ความร้อนและไม่ทำให้คุณสมบัติของอาหารเปลี่ยนแปลง เช่น ผลไม้ที่ผ่านการฉายรังสีจะยังคงมีความชุ่มฉ่ำเหมือนเดิม เนื้อสดและเนื้อแช่แข็งสามารถนำมาฉายรังสีได้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้สุกและอาหารที่ผ่านการฉายรังสีจะไม่มีรังสีตกค้างเช่นเดียวกับการฉายเอ็กซเรย์ฟันและกระดูก ปริมาณรังสีที่ใช้ในการฉายรังสีอาหารเกี่ยวข้องกับชนิดของอาหารและประสิทธิภาพในการฉายรังสีอาหาร ซึ่งอาหารที่ผ่านการฉายรังสีแล้ว ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี วันเดือนและปีที่ทำการฉายรังสีด้วย ในประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลอาหารฉายรังสี ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกามีคณะกรรมาธิการอาหารสากล (Codex Alimentarius General Standards for Irradiated Foods) ทำหน้าที่กำกับดูแลการฉายรังสีอาหาร ทั้งนี้ในส่วนของผู้ประกอบการไทยควรมีการส่งเสริมศักยภาพการผลิตอาหารฉายรังสีพร้อมกับผลักดันให้หน่วยงานผู้เชี่ยวชาญของสหภาพยุโรปให้การรับรองแหล่งผลิตหรือโรงงานฉายรังสีอาหารไปพร้อมกัน เพื่อขยายโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารสู่ตลาดสหภาพยุโรป โดยมีมาตรฐาน CODEX 106-1983 ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมาธิการในปี ค.ศ. 1983 จากสมาชิกองค์การอาหารและเกษตร (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดให้ปริมาณรังสีดูดกลืนสำหรับอาหารฉายรังสีมีได้สูงถึง 10 กิโลเกรย์ และรับรองว่าปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่เป็นพิษ ไม่ก่อปัญหาทั้งด้านโภชนาการและจุลชีววิทยา นอกจากนี้หากผู้บริโภคเข้าใจถึงการฉายรังสีอาหารอย่างถูกต้องแล้ว จะทำให้ผู้บริโภคให้การยอมรับอาหารฉายรังสีมากขึ้น 


ความหมายของอาหารฉายรังสีและวัตถุประสงค์ในการฉายรังสี

              อาหารฉายรังสี (Irradiated foods) เป็นอาหารที่แปรรูปโดยการผลิตด้วยกรรมวิธีการฉายรังสี (กระทรวงสาธารณสุข, 2549) เพื่อกำจัดหรือควบคุมเชื้อโรคและแมลงในผลิตภัณฑ์อาหาร ทั้งยังเป็นวิธีการถนอมอาหารที่เกิดจากการไอออไนซ์โดยใช้รังสี (Ionizing radiation) การฉายรังสีอาหารเพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนมาในอาหารเป็นการลดการเน่าเสียและคงคุณภาพ ช่วยลดจำนวนแบคทีเรีย จึงทำให้เก็บรักษาได้นานขึ้น การฉายรังสีอาหารเป็นกระบวนการที่ไม่ทำให้คุณสมบัติของอาหารเปลี่ยนแปลง เช่น ผลไม้ที่ผ่านการฉายรังสีจะยังคงมีความชุ่มฉ่ำเหมือนเดิม เนื้อสดและเนื้อแช่แข็งสามารถนำมาฉายรังสีได้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้สุก และอาหารที่ผ่านการฉายรังสีจะไม่มีรังสีตกค้างเช่นเดียวกับการฉายเอ็กซเรย์ฟันและกระดูก แม้ว่าการฉายรังสีอาหารจะได้รับการรับรองจากประเทศต่างๆ กว่า 40 ประเทศแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นปัญหาในการยอมรับของผู้บริโภค 

              วัตถุประสงค์ของการฉายรังสีอาหาร มีดังนี้

              1. เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค เช่น แหนมจะฉายรังสีปริมาณ 2 กิโลเกรย์ เพื่อกำจัดเชื้อโรคซัลโมเนลลาที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง  กะปิจะฉายรังสีปริมาณ 6 กิโลเกรย์ เป็นการปรับปรุงคุณภาพด้านจุลินทรีย์และไข่จะฉายรังสีเพื่อกำจัดเชื้อซัลโมเนลลาเช่นเดียวกับแหนม
              2. ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาโดยช่วยชะลอการเน่าเสียของผลไม้ เช่น สตรอเบอรี่ โดยการฉายรังสีปริมาณ 2 กิโลเกรย์ และเก็บที่อุณหภูมิในตู้เย็น จะช่วยชะลอการเน่าเสียจากการเกิดเชื้อราสีเทา ผลไม้แอปเปิ้ล พีช แพร์ ฉายรังสีปริมาณ 2 กิโลเกรย์ ช่วยชะลอการเน่าเสียจากเชื้อรา ช่วยชะลอการเน่าเสียของผัก ยืดอายุการเก็บรักษาผัก เช่น แครอท ขึ้นฉ่าย  ดอกกะหล่ำ และหอมหัวใหญ่ รังสีช่วยยืดอายุการเก็บรักษาเนื้อสัตว์และอาหารทะเล เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่สด ปลาทูนึ่ง กุ้งและปลาหมึกสด 
              3. ช่วยชะลอการสุกของผลไม้ เช่น ชะลอการสุกของมะม่วงหนังกลางวัน โดยจุ่มน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที ทำการฉายรังสีปริมาณ 0.6 กิโลเกรย์ และเก็บที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้นาน 10 วัน และช่วยลดการเน่าเสียจากการเกิดโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)  กล้วยหอมทองฉายรังสีปริมาณ 0.2-0.4 กิโลเกรย์ เก็บที่อุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส สามารถชะลอการสุกได้ 3-5 วัน 
              4. ช่วยลดปริมาณปรสิต เช่น การกำจัดพยาธิในปลาทะเลด้วยการใช้รังสีปริมาณ 6 กิโลเกรย์  การกำจัดพยาธิตัวจี๊ดในปลาน้ำจืด เช่น ปลาส้มฟัก และแหนมปลา ใช้รังสีปริมาณ 8 กิโลเกรย์ การกำจัดพยาธิใบไม้ตับ ในปลาน้ำจืด ใช้รังสีปริมาณ 0.6 กิโลเกรย์ 
              5. ช่วยยับยั้งการงอกระหว่างการเก็บรักษา เช่น ยับยั้งการงอกของหอมหัวใหญ่ นำหอมหัวใหญ่มาฉายรังสีปริมาณ 0.09 กิโลเกรย์ ร่วมกับการเก็บในห้องเย็นจะเก็บได้นานกว่า 5 เดือนโดยไม่งอก มันฝรั่งที่ผ่านการฉายรังสีปริมาณ 0.08-0.15 กิโลเกรย์ และเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้นานประมาณ      6 เดือน เห็ดฟางผ่านการฉายรังสีปริมาณ 1 กิโลเกรย์ เก็บที่อุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส สามารถชะลอการบานของดอกเห็ดได้นาน 4 วัน สำหรับเห็ดต่างประเทศฉายรังสีปริมาณ 1-2 กิโลเกรย์เก็บที่อุณหภูมิ 0-40 องศาเซลเซียส สามารถชะลอการบานได้นาน 10-14 วัน 
              6. ทำลายและยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแมลง เป็นการกำจัดโดยทางอ้อม ด้วยการฉายรังสีเพื่อควบคุมและกำจัดแมลงโดยเทคนิคการใช้แมลงที่เป็นหมัน เช่น แมลงวันผลไม้และหนอนเจาะสมอฝ้าย  

              การฉายรังสีอาหารต้องใช้ปริมาณรังสีดูดกลืน (Absorbed dose) ในระดับต่ำสุดให้เพียงพอตามวัตถุประสงค์ที่ทำการฉายและต้องปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยคงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไว้ ไม่ทำให้โครงสร้างและคุณสมบัติของอาหารเปลี่ยนแปลง และยังคงคุณลักษณะทางประสาทสัมผัสของอาหาร (กระทรวงสาธารณสุข, 2549)


ข้อควรรู้เกี่ยวกับกรรมวิธีการฉายรังสีอาหาร หลักเกณฑ์และเงื่อนไข 

              มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

              1. ชนิดของรังสี (CODEX, 2008; กระทรวงสาธารณสุข, 2549) ชนิดของรังสีที่อนุญาตให้ใช้ได้ในกระบวนการฉายรังสีอาหารต้องได้จากแหล่งของรังสีที่เป็นต้นกำเนิดดังต่อไปนี้

                   - รังสีแกมมา จากเครื่องฉายรังสีที่มีโคบอลต์-60 (60Co) หรือซีเซียม-137 (137Cs) เป็นต้นกำเนิดรังสี
                   - รังสีเอ็กซ์ จากเครื่องผลิตรังสีเอกซ์ที่ทำงานด้วยระดับพลังงานที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์
                   - รังสีอิเล็กตรอน จากเครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอนที่ทำงานด้วยระดับพลังงานที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์
              2. ชนิดของอาหาร การฉายรังสีอาหารได้รับการรับรองจากประเทศต่าง ๆ กว่า 40 ประเทศ แต่ยังคงมีปริมาณการใช้ไม่มากนัก เนื่องจากปัญหาในการยอมรับของผู้บริโภค และการก่อสร้างโรงงานฉายรังสีต้องใช้การลงทุนสูง องค์การอาหารและยาในสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration) ได้รับรองว่าการฉายรังสี สามารถกำจัดแมลงจากข้าวสาลี มะเขือเทศ แป้งสาลี เครื่องเทศ ชา พืชผักและผลไม้ การฉายรังสีสามารถใช้ในการควบคุมการงอกและการสุกของผลิตผลทางการเกษตร ในปี ค.ศ. 1985 ได้มีการรับรองว่าการฉายรังสีสามารถทำลายพยาธิ trichinosis ในเนื้อหมูได้ มีการรับรองในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1990 ว่าวิธีการฉายรังสีสามารถใช้ในการควบคุมเชื้อ Salmonella และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายชนิดอื่นในเนื้อไก่ ไก่งวง และเนื้อสัตว์ปีกชนิดอื่นทั้งแบบสดและแช่แข็ง โดยประสิทธิภาพของการฉายรังสีในอาหารแสดงไว้ในตารางที่ 1
 

ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของการฉายรังสีอาหารชนิดต่างๆ 

ชนิดของอาหาร

ผลของการฉายรังสี

เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก

ทำลายเชื้อจุลินทรีย์และพยาธิ เช่น Salmonella, Clostridium botulinum and Trichinae

อาหารที่เน่าเสียได้

ชะลอการเน่าเสีย ชะลอการเจริญของเชื้อรา            ลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์

ธัญพืช เมล็ดข้าว ผลไม้

ควบคุมแมลงในพืชผัก ผลไม้แห้ง เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรส

หัวหอม แครอท มะเขือเทศ กระเทียม ขิง

ยับยั้งการงอก

กล้วย มะม่วง มะละกอ ฝรั่ง ผลไม้ไม่เปรี้ยว

ชะลอการสุก

ข้าว ผลไม้

ลดเวลาในการอบแห้ง


ที่มา : สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย (2551 ก)

              3. ปริมาณรังสีดูดกลืน  (Radiation absorbed dose) ปริมาณรังสีดูดกลืน  หมายความว่า ปริมาณพลังงานที่อาหารดูดกลืนไว้ต่อหนึ่งหน่วยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์อาหารเมื่อได้รับรังสี มีหน่วยเป็นเกรย์  และต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการฉายรังสีตามแต่กรณี  ทั้งนี้ปริมาณรังสีดูดกลืนต้องไม่เกินที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เว้นแต่มีเหตุผลทางวิชาการหรือความจำเป็นทางเทคนิคที่สมควรต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอาหาร (กระทรวงสาธารณสุข, 2549)

              4. การติดฉลาก  การแสดงฉลากของอาหารฉายรังสี นอกจากต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ฉลาก และประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องของอาหารนั้น ๆ แล้ว ต้องแสดงรายละเอียดดังต่อไปนี้

                    - ชื่อและที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตและผู้ฉายรังสี
                    - แสดงข้อความว่า “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” หรือข้อความที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกัน 
                    - ระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี ด้วยข้อความดังนี้ “เพื่อ.....” (ความที่เว้นไว้ให้ระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี)
                    - การแสดงเครื่องหมายการฉายรังสีอาจจะแสดงหรือไม่ก็ได้ แต่หากจะแสดงต้องใช้ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในเอกสารท้ายประกาศใกล้กับชื่อของอาหาร
                    - วันเดือนและปีที่ทำการฉายรังสี
              อาหารฉายรังสีหากถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารอื่นและส่วนประกอบของอาหารมีเพียงอย่างเดียว ซึ่งได้มาจากวัตถุดิบที่ผ่านการฉายรังสีต้องแสดงข้อความ “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” (ยุทธพงศ์ ประชาสิทธิศักดิ์, 2551)
 

อาหารฉายรังสีในสหภาพยุโรปและประเทศไทย

              งานวิจัยด้านอาหารฉายรังสีมีความก้าวหน้ามาก ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยในปี พ.ศ. 2523 คณะกรรมาธิการด้านอาหารฉายรังสีประกาศว่า อาหารใดที่ผ่านการฉายรังสีปริมาณเฉลี่ยไม่เกิน 10 กิโลเกรย์ จะไม่ก่อให้เกิดโทษอันตราย ไม่ก่อเกิดปัญหาทางโภชนาการและจุลชีววิทยา ไม่จำเป็นต้องทดสอบเรื่องความปลอดภัยอีกต่อไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ประกาศอนุญาตให้อาหารสดฉายรังสีได้ไม่เกิน 1 กิโลเกรย์ และอาหารแห้งฉายรังสีได้ไม่เกิน 30 กิโลเกรย์ เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชน (ยุทธพงศ์ ประชาสิทธิศักดิ์ , 2551)

              1. กฎหมายอาหารฉายรังสีในประเทศไทย (ยุทธพงศ์ ประชาสิทธิศักดิ์, 2551) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลอาหารฉายรังสี ได้ออกกฎหมายบังคับใช้กับอาหารฉายรังสี ดังนี้

                    (1) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2515) เรื่อง “กำหนดอาหารอาบรังสีเป็นอาหารที่ควบคุม” ต่อมามีการออกประกาศเพิ่มอีก 1 ฉบับ คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2516) เรื่อง “กำหนดหอมหัวใหญ่อาบรังสีเป็นอาหารที่ควบคุม กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการผลิตเพื่อจำหน่ายหรือจำหน่าย และฉลากสำหรับหอมหัวใหญ่อาบรังสี” ประกาศกระทรวงฯ ทั้ง 2 ฉบับ ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหาร พ.ศ. 2507

                    (2) พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มีผลให้ยกเลิกประกาศกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารอาบรังสีทั้ง 2 ฉบับ และให้ใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 9 และ 10 (พ.ศ. 2522) แทน

                    (3) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 103 (พ.ศ. 2529) เรื่อง “กำหนดวิธีการผลิตอาหารซึ่งมีการใช้กรรมวิธีการฉายรังสี” ในปี 2529 ประเทศสหรัฐอเมริกาออกประกาศรับรองอนุญาตให้ฉายรังสีอาหารแห้งโดยใช้ความแรงรังสีถึง 30 กิโลเกรย์ เพื่อจำหน่ายแก่ประชาชนได้ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่ใช้อยู่เดิมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของคณะกรรมาธิการอาหารสากล (Codex Alimentarius General Standards for Irradiated Foods) ตลอดจนข้อแนะนำการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การฉายรังสีเพื่อใช้กับอาหาร (Recommended Code of Practice for Operation of Radiation Facilities for the Treatment of Food) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 103 (พ.ศ. 2529) นี้ ได้เพิ่มชนิดของอาหารที่อนุญาตให้ฉายรังสีเป็น 18 ชนิด เพิ่มจากเดิมซึ่งมีเพียงหอมหัวใหญ่เท่านั้นหรืออนุญาตให้ฉายรังสีได้ นอกจากนี้ยังให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่คณะกรรมการอาหารและยาพิจารณาเพิ่มชนิดของอาหารที่ต้องการฉายรังสีได้

                    (4) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงฯ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสากล ประกอบกับประเทศไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ดังนั้นเพื่อให้ข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 103) พ.ศ. 2529 มีความสอดคล้องกับมาตรฐานอาหารฉายรังสีในระดับสากล (Codex) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงออกประกาศกระทรวง (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2549 เรื่อง อาหารฉายรังสี แทนฉบับเดิม โดยอ้างอิงข้อกำหนดมาตรฐานสากล Codex General Standard for Irradiation Food (CODEX-STAN 106-1983, Rev. 1-2003) และ Recommended International Code of Practice for Radiation Processing of Food (CAC/RCP 19-1979, Rev. 2-2003) 

              ประกาศกระทรวง (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2549 เรื่อง อาหารฉายรังสี มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 โดยมีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้

                    (1) กำหนดคำนิยามต่าง ๆ เช่น อาหารฉายรังสี  การฉายรังสีอาหาร  วัตถุประสงค์ของการฉายรังสีและผู้ฉายรังสีอาหาร

                    (2) ชนิดของรังสีที่ใช้ ต้องได้จากแหล่งกำเนิดรังสี ดังต่อไปนี้

                               ก. รังสีแกมมา ได้จากเครื่องฉายรังสีที่มีโคบอลต์-60 หรือซีเซียม-137 
                               ข. รังสีเอ็กซ์ ได้จากเครื่องผลิตรังสีเอ็กซ์ทำงานที่ระดับพลังงานต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์
                               ค. รังสีอิเล็กตรอน ได้จากเครื่องเร่งอนุภาคอิเล็กตรอนที่ทำงานด้วยระดับพลังงานที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10 ล้านอิเล็กตรอนโวลต์
                    (3) กำหนดปริมาณรังสีดูดกลืนต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการฉายรังสีตามแต่กรณี และต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายประกาศ จะเห็นได้ว่าประกาศฉบับนี้ไม่กำหนดชนิดของอาหารที่อนุญาตให้ฉายรังสี แต่เน้นที่วัตถุประสงค์ของการฉายรังสี
                    (4) การควบคุมกรรมวิธีการผลิต กำหนดให้การฉายรังสีอาหารต้องดำเนินการในสถานที่และใช้เครื่องมือที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บุคลากรที่ดำเนินการต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้เครื่องฉายรังสีมาแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับการฉายรังสีและปริมาณรังสีดูดกลืนของอาหารต้องมีระบบควบคุมข้อมูลและเก็บไว้อย่างน้อย 3 ปี และพร้อมให้ตรวจสอบได้
                    (5) อาหารที่ผ่านการฉายรังสีมาแล้วจะนำมาฉายรังสีซ้ำอีกไม่ได้ ยกเว้นอาหารที่มีความชื้นต่ำ เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารแห้ง และอาหารอื่นในทำนองเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดแมลงที่เข้าไปภายหลังจากที่ได้มีการฉายรังสีแล้ว ทั้งนี้ปริมาณรังสีดูดกลืนสูงสุดต้องไม่เกิน 10 กิโลเกรย์ ยกเว้นมีความจำเป็นหรือมีเหตุผลทางวิชาการ หากปริมาณรังสีดูดกลืนเกินกว่าที่กล่าวมา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
                    (6) อาหารที่ได้รับการฉายรังสีในกรณีต่อไปนี้ ไม่ถือว่าเป็นการฉายรังสีซ้ำ ได้แก่
                             (6.1) อาหารที่เตรียมจากวัตถุดิบซึ่งได้รับการฉายรังสีในระดับต่ำมาแล้ว เช่น เพื่อควบคุมการแพร่ พันธุ์ของแมลง เพื่อป้องกันการงอกของรากและพืชหัว แล้วนำมาฉายรังสีซ้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
                             (6.2) อาหารที่มีส่วนประกอบผ่านการฉายรังสีแล้ว น้อยกว่าร้อยละ 5 ถูกนำมาฉายรังสีซ้ำอีก
                             (6.3) อาหารที่ไม่สามารถฉายรังสีให้ได้รับปริมาณรังสีตามกำหนดในครั้งเดียว เพื่อให้ได้วัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
                    (7) ห้ามนำวิธีการฉายรังสีมาใช้ทดแทนหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (good manufacturing practices) หรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติที่ดีทางการเกษตร (good agricultural  practices)

                    (8) อาหารฉายรังสีต้องแสดงฉลาก นอกจากต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง ฉลากแล้ว ยังต้องแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

                            (8.1) ที่ตั้ชื่อและงของสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตและผู้ฉายรังสี
                            (8.2) ต้องแสดงข้อความว่า “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” หรือข้อความที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกัน
                            (8.3) ระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี ด้วยข้อความ “เพื่อ.............” (ความที่เว้นไว้ให้ระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี) เช่น “เพื่อทำลายและยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแมลง”
                            (8.4) จะแสดงเครื่องหมายการฉายรังสีหรือไม่ก็ได้ แต่หากต้องการแสดงต้องใช้เครื่องหมายตามที่กำหนดในเอกสารท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข 
                            (8.5) แสดงวันเดือนและปีที่ทำการฉายรังสี
                    (9) ส่วนประกอบในอาหารที่ผ่านการฉายรังสี ต้องแสดงข้อความ “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” หรือข้อความที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกันกำกับชื่อส่วนประกอบของอาหารนั้น
                   (10) กรณีที่ส่วนประกอบของอาหารเพียงอย่างเดียวที่ได้มาจากวัตถุดิบที่ผ่านการฉายรังสี ต้องแสดงข้อความ “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” หรือข้อความที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกันกำกับชื่อส่วนประกอบของอาหารนั้นด้วย
              2.  กฎหมายของอาหารฉายรังสีในสหภาพยุโรป (อรอนงค์ มหัคฆพงศ์, 2551) ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านการฉายรังสีโดยไม่ติดฉลากแจ้งให้ผู้บริโภคทราบ และการใช้ปริมาณรังสีไม่เป็นไปตามกำหนดอาจถูกปฏิเสธการนำเข้าจากประเทศในสหภาพยุโรป ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและป้องกันการเกิดปัญหา ผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อม และติดตามสถานการณ์เพื่อให้สินค้าผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งไปจำหน่ายไม่เกิดปัญหาและเสียหายต่อภาคการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย
              อาหารฉายรังสีจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปจนกว่าจะมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขภายใต้ Directive 1999/2/EC และ Directive 1999/3/EC ได้แก่ ต้องมีฉลากกำกับอาหารฉายรังสี มีเอกสารรับรองโดยระบุชื่อ สถานที่ตั้ง และจัดเก็บบันทึกข้อมูลการใช้รังสีเป็นเวลา 5 ปี และสถานที่ฉายรังสีต้องได้รับการตรวจสอบรับรองและขึ้นบัญชีจากผู้เชี่ยวชาญของอียู โดยผู้ประสงค์ส่งออกสินค้าเพื่อจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปสามารถแจ้งและยื่นเอกสารข้อมูลให้ Directorate-General of Health and Consumer Protection (DG-SANCO) พิจารณาโดยคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากนั้นคณะเจ้าหน้าที่หน่วยงาน Food and Veterinary Office (FVO) จะมาตรวจสอบรับรองและอนุญาต ผู้ประกอบการไทยควรได้รับการส่งเสริมศักยภาพการผลิตอาหารฉายรังสีพร้อมกับผลักดันให้หน่วย งานผู้เชี่ยวชาญของสหภาพยุโรปให้การรับรองแหล่งผลิตหรือโรงงานฉายรังสีอาหาร ซึ่งจะเป็นช่องทางขยายโอกาสการส่งออกสินค้าอาหารสู่ตลาดสหภาพยุโรปได้มากขึ้นและยังช่วยลดปริมาณการกักกันสินค้าอาหารของไทย
              ระเบียบเกี่ยวกับอาหารฉายรังสีในสหภาพยุโรป ได้แก่ 
                    (1) Directive 1999/2/EC เป็นกฎหมายของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป เรื่อง อาหารและส่วนผสมอาหารที่ผ่านการฉายรังสี ซึ่งระบุขั้นตอนของกรรมวิธีฉายรังสี การติดฉลากและเงื่อนไขในการอนุญาตให้ฉายรังสีอาหาร โดยอนุญาตให้ฉายรังสีได้เมื่อมีความจำเป็น ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และไม่ใช้การฉายรังสีแทนหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการรักษาสุขอนามัยในการผลิต (Hygiene and health practices for good manufacturing) อาหารที่ผ่านการฉายรังสีกำหนดให้ต้องติดฉลากแสดงข้อความ “Irradiated” หรือ “Treated with ionizing radiation” หากเป็นอาหารที่ไม่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ต้องติดป้ายหรือระบุบนเมนูให้ผู้บริโภคทราบว่าเป็นอาหารฉายรังสี เช่น ในร้านอาหาร นอกจากนั้นยังต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร (SCF : Scientific Committee for Food of EU) หากต้องการเพิ่มรายการผลิตภัณฑ์ที่อนุญาตให้ฉายรังสีได้
                    (2) Directive 1999/3/EC เป็นกฎหมายที่ระบุรายการอาหารที่อนุญาตให้ฉายรังสีได้ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียว คือ เครื่องเทศ (Dried aromatic herbs, spices and vegetable seasonings) ปัจจุบันสหภาพยุโรปอนุโลมให้ประเทศสมาชิก ออกกฎหมายภายในประเทศอนุญาตให้ฉายรังสีอาหารบางประเภทได้ เช่น มันฝรั่ง กระเทียม มันเทศ แป้งข้าวเจ้า เนื้อสัตว์ปีก กุ้ง ปลา ขากบแช่แข็ง ผักและผลไม้อบแห้ง 

มาตรฐานของ CODEX 106-1983 (CODEX, 2008)

              มาตรฐานของ CODEX 106-1983 ปรับปรุงจากมาตรฐาน CAC/RS 106-1979 โดยได้รับการรับรองจากคณะกรรมาธิการ ในปี ค.ศ. 1983 ด้วยการยอมรับจากสมาชิกขององค์การอาหารและเกษตร (FAO)  และองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ต้องวัดและคำนวณปริมาณรังสีดูดกลืนให้เป็นไปตาม Recommended International Code of Practice for the Operation of Radiation Facilities Used for Treatment of Foods กำหนดให้ปริมาณรังสีดูดกลืนสำหรับอาหารฉายรังสีสูงถึง 10 กิโลเกรย์ ปริมาณรังสีดังกล่าวได้รับการรับรองว่าปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่เป็นพิษ ไม่ก่อปัญหาทั้งด้านโภชนาการและจุลชีววิทยา 

              สาระสำคัญของมาตรฐาน CODEX 106-1983 มีดังนี้

              1. ขอบข่ายของมาตรฐานการฉายรังสีอาหาร (Scope)
              2. ข้อปฏิบัติทั่วไปสำหรับการฉายรังสีอาหาร ได้แก่ แหล่งกำเนิดรังสีที่ใช้ (Radiation sources) ปริมาณรังสีดูดกลืน (Absorbed dose) เครื่องมือและอุปกรณ์การฉายรังสีต้องมีการควบคุมกำกับดูแลโดยหน่วยงานระดับชาติ ทั้งนี้เพื่อไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เจ้าหน้าที่ดำเนินการต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้เครื่องฉายรังสีมาแล้ว มีระบบควบคุมข้อมูลพร้อมให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ การควบคุมเป็นไปตามกฎระเบียบด้านการปฏิบัติงานเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องมือทางรังสีสำหรับประกอบอาหารของ Recommended International Code of Practice for the Operation of Radiation Facilities Used for the Treatment of Foods (CAC/RCP 19-1979, Rev. 1-1983)
             3. ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับสุขอนามัยของอาหารฉายรังสี ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบด้านสุขอนามัยทางอาหาร Recommended International Code of Practice-General Principles of Food Hygiene (Ref. No.: CAC/RCP 1-1969, Rev. 2-1985) ดูแลโดยหน่วยงานสาธารณสุขให้สินค้าที่วางจำหน่ายมีความปลอดภัยทางด้านจุลชีววิทยาและเหมาะสมทางด้านโภชนาการ
             4. ควบคุมให้เป็นไปตามหลักทางวิชาการด้านการฉายรังสีอาหารโดยไม่นำวิธีการฉายรังสีมาใช้แทนหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good manufacturing practices) และปริมาณรังสีต้องเหมาะสมกับอาหารที่จะนำมาฉายรังสีรวมทั้งบรรจุภัณฑ์ต้องมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับได้ทางด้านสุขอนามัย
              5. การฉายรังสีซ้ำกระทำได้สำหรับอาหารที่มีความชื้นต่ำ เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทธัญพืช พืชหัว อาหารแห้ง และอาหารอื่นในทำนองเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมแมลง อาหารที่ยกเว้นไม่เป็นการฉายรังสีซ้ำ ได้แก่ อาหารที่เตรียมจากวัตถุดิบซึ่งได้รับการฉายรังสีในระดับต่ำประมาณ 1 กิโลเกรย์ แล้วนำมาฉายรังสีซ้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น, อาหารที่มีส่วนประกอบน้อยกว่าร้อยละ 5 ถูกนำมาฉายรังสีซ้ำอีก และอาหารที่จำเป็นต้องฉายรังสีซ้ำเกินกว่าหนึ่งครั้งเพื่อให้ได้รับปริมาณรังสีตามกำหนดตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แต่ปริมาณรังสีดูดกลืนรวมต้องไม่เกิน 10 กิโลเกรย์
              6. อาหารฉายรังสีต้องแสดงฉลากทั้งอาหารอยู่ในบรรจุภัณฑ์หรือไม่ก็ตาม และต้องแสดงรายละเอียดที่เหมาะสมด้วยการระบุชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตและผู้ฉายรังสี วันที่และหมายเลขบรรจุภัณฑ์ การแสดงฉลากของอาหารฉายรังสีก่อนบรรจุควรปฏิบัติตามมาตรฐานของ Codex การสำแดงการกำกับอาหารฉายรังสีควรจะแสดงเอกสารตามระเบียบการขนส่งสินค้า
 

ความปลอดภัยของอาหารฉายรังสี 
              ความปลอดภัยของอาหารฉายรังสีสำหรับผู้บริโภค ยังมีคำถามสงสัยอยู่เนื่องจากรังสีที่เกิดการไอออไนซ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องทำการศึกษาวิจัยทั้งระดับชาติและสากลเพื่อประเมินอันตรายของอาหารฉายรังสี โดยคณะผู้เชี่ยวชาญจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA:International Atomic Energy Agency), องค์การอนามัยโลก (WHO: the World Health Organization) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO: Food and Agricultural Organization of the United Nations) ได้มีข้อสรุปยืนยันเป็นเอกฉันท์ว่ากระบวนการอาหารฉายรังสีไม่ทำให้เกิดพิษ มีจุลินทรีย์หรือเป็นอันตรายทางโภชนาการต่างจากการใช้แปรรูปอาหารด้วยวิธีปกติ องค์การเหล่านี้รวมทั้งองค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ (Codex Alimentarius Commision) และหน่วยงานดูแลกฎระเบียบต่าง ๆ ให้การรับรองความปลอดภัยอาหารฉายรังสีโดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (Good manufacturing practices) และหลักเกณฑ์การปฏิบัติที่ดีทางโรงงานฉายรังสี (Good irradiation practices) (Morehouse, KM., and Komolprasert, V., 2007)  นอกจากนั้นองค์กรดังกล่าวได้สรุปผลยืนยันว่า อาหารฉายรังสีในปริมาณเฉลี่ยไม่เกิน 10 กิโลเกรย์ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางโภชนาการและจุลชีววิทยาและไม่จำเป็นต้องทดสอบความปลอดภัยอีกต่อไป จากข้อสรุปนี้องค์การมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศของ FAO/WHO หรือเรียกว่า “Codex” ได้ประกาศรับรองมาตรฐานอาหารฉายรังสีและวิธีอันพึงปฏิบัติในการฉายรังสีเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการฉายรังสีอาหารที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการกำจัดแบคทีเรียและช่วยยืดอายุ (อรอนงค์ มหัคฆพงศ์, 2551)
              อาหารฉายรังสียังคงมีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิม การฉายรังสีในปริมาณต่ำ อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลงบ้าง ส่วนการฉายรังสีในปริมาณสูงเพื่อวัตถุประสงค์ในการยืดอายุการเก็บรักษาหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลงใกล้เคียงกับการปรุงอาหารหรือการแช่แข็ง การฉายรังสีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในอาหาร เช่นเดียวกับการปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนทำให้เกิดสารเคมีเรียกว่า “Thermolytic products” นักวิทยาศาสตร์ พบว่า การฉายรังสีอาหารทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าการใช้ความร้อนในการปรุงอาหาร สารที่เกิดจากการปรุงอาหารมีปริมาณสูงพอที่ผู้บริโภคจะสัมผัสได้ด้วยการได้กลิ่นหรือชิมรส ส่วนการตรวจสอบสารที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยการฉายรังสี เรียกว่า “Radiolytic products” ต้องใช้เครื่องมือที่มีความไวสูงจึงจะตรวจหาได้ (สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย, 2551 ข)
              การตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารฉายรังสีโดยใช้สัตว์ทดลองมีหลายวิธีการ ผู้คัดค้านอาหารฉายรังสีจะกล่าวหาว่า การรับประทานอาหารฉายรังสีทำให้ลักษณะโครโมโซมผิดปกติ แต่ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันความปกติของโครโมโซมทั้งในสัตว์ทดลองและในผู้อาสาสมัคร ฝ่ายต่อต้านอาหารฉายรังสีกล่าวอ้างถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสัตว์ที่กินอาหารฉายรังสี ปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ การตายก่อนวัย ความผิดปกติทางการถ่ายทอดพันธุกรรม ตับถูกทำลายและเป็นโรคมะเร็ง ระดับวิตามินที่ลดต่ำลง ส่วนประกอบบางชนิดถูกสร้างขึ้นใหม่ เช่น 2-dodecylcylodutanone (2-DCB) และ 2-alkylcyclobutanones ซึ่งเกิดขึ้นในอาหารประเภทไขมัน ปัจจัยที่ทำให้ระดับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารฉายรังสีเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ชนิดของอาหาร ปริมาณรังสีที่ฉาย หีบห่อบรรจุและสภาวะของการแปรรูปอาหาร การสูญเสียทางโภชนาการลดลงได้โดยการกำจัดออกซิเจนออกจากบรรจุภัณฑ์ที่จะนำเข้าฉายรังสีปริมาณ 1 กิโลเกรย์ อาหารประเภทไขมันมักส่งกลิ่นเหม็นหืน อาหารชนิดโปรตีนสูงมีผลให้รสชาติและกลิ่นเปลี่ยนเช่นกัน การฉายรังสีอาหารแช่แข็งและลดปริมาณรังสีลงช่วยให้สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นลดลงได้ การลดลงของปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีนโดยวิธีการฉายรังสีเกิดขึ้นไม่มากนักแต่วิตามินมีการสูญเสียค่อนข้างมาก (Inabo, HI., 2005)

              อาหารฉายรังสีมีความปลอดภัยไม่มีรังสีตกค้างในอาหาร เนื่องจากแหล่งกำเนิดรังสีที่ใช้สำหรับการฉายรังสีมีข้อจำกัดให้ใช้เพียงพลังงานต่ำ ๆ จึงไม่สามารถชักนำให้อาหารหรือวัสดุหีบห่อเกิดสารรังสีได้ และองค์การอาหารและยาได้สรุปว่าการฉายรังสีไม่เป็นสาเหตุให้เกิดสารพิษในอาหารซึ่งพลังงานความร้อนในการปรุงอาหารปกติใช้พลังงานสูงกว่าการฉายรังสี และคณะผู้เชี่ยวชาญในองค์การสากลต่าง ๆ อาทิ องค์การอาหารและเกษตร (Joint Food and Agriculture Organization) ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency) องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) กลุ่มที่ปรึกษาสากลด้านอาหารฉายรังสี (International Consultative Group on Food Irradiation)  และองค์การอาหารและยา(Food and Drug administration) สรุปว่าการฉายรังสีอาหารภายใต้สภาวะควบคุมมีความปลอดภัย (Shea, KM., 2000)


ผลของการฉายรังสีต่อเชื้อโรคในอาหารและบรรจุภัณฑ์แบบต่าง ๆ 

              มักมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ควรปฏิบัติสำหรับเนื้อวัวและเนื้อไก่ฉายรังสีเสมอ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (USDA: United States Department of Agruculture) ได้แนะนำข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยสำหรับอาหาร 4 ข้อ ได้แก่ Clean: ดูแลความสะอาดโดยล้างมือและอุปกรณ์ประกอบอาหารบ่อย ๆ Separate: ห้ามนำสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเจือปน Cook: ปรุงอาหารให้สุกโดยใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม  Chill: เก็บรักษาอาหารในตู้เย็นหรือแช่เย็นเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หน่วยงานด้านสาธารณสุขได้ดูแลเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงของเชื้อโรคโดย USDA และหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร (FSIS) ได้ตรวจสอบ  เนื้อวัว เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ไข่ที่ฉายรังสีเพื่อปกป้องผู้บริโภค โดยเทคโนโลยีการฉายรังสีอาหารจะช่วยลดอันตรายจากเชื้อแบคทีเรียในอาหารรวมทั้ง E. coli O157:H7  ซัลโมเนลลา และ Campylobacter การฉายรังสีเนื้อวัวและเนื้อไก่ได้ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานราชการ โดยเสริมความปลอดภัยแต่มิใช่แทนกระบวนการทางสุขอนามัยที่ใช้ในโรงงานผลิตอาหาร องค์การอาหารและยา (FDA) และหน่วยงานอื่นทั่วโลกประเมินความปลอดภัยของการฉายรังสีอาหารเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วและผ่านการรับรองโดยสมาคมแพทย์ของชาวอเมริกันและองค์การอนามัยโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Health Organization: UN-WHO) ประเทศแถบยุโรปใช้วิธีฉายรังสีมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปีแล้ว องค์การอาหารและยาเป็นผู้อนุมัติปริมาณรังสีที่ใช้กับอาหารต่าง ๆ โดยไม่ทำให้เปลี่ยนเป็นสารกัมมันตรังสี ผลงานวิจัยแสดงว่า การฉายรังสีอาหารไม่ทำให้ปริมาณธาตุอาหาร รสชาติ หรือลักษณะของอาหารเปลี่ยนแปลง (USDA, 2008)  

              ความปลอดภัยทางอาหารเป็นเรื่องสำคัญต่อชุมชน มีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อต่อต้านเชื้อโรคที่ติดมากับอาหารด้วยการใช้กรรมวิธีฆ่าเชื้อในนมและการบรรจุอาหารกระป๋อง (Tauxe, RV., 2001) แม้ว่าสินค้าอาหารที่ใช้กระบวนการผลิตในระดับความปลอดภัยสูงเท่าไรก็ตาม อันตรายจากเชื้อโรคต่าง ๆ ก็ยังคงปรากฏอยู่เสมอ เพราะว่าในอาหารอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย อาจใช้กรรมวิธีการปฏิบัติที่ผิดหลักการ รวมทั้งการประกอบอาหารที่อาจจะไม่เหมาะสม จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยการติดเชื้อโรคจากอาหารได้ ในปี ค.ศ. 1998 มีการรายงานจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานผลการประเมินเชื้อแบคทีเรียที่เกิดในอาหารมีผลให้เกิดการเจ็บป่วยถึง 76 ล้านราย ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล  325,500 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 5,000 ราย (Osterholm, MT., and Norgan, AP., 2004; Smith, JS., and Pillai, S.,  2004) ผลของ Escherichia coli 0157:H7 (E coli) เป็นสาเหตุให้มีคนเจ็บป่วยถึง 62,458 ราย ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1,843 ราย และมีผลถึงขั้นเสียชีวิต 52 รายต่อปี และมีเชื้ออีก 4 ชนิดได้แก่ Campylobacter jejuni, Salmonella, Listeria monocytogens, Toxoplasma gondii  ที่มีผลให้เกิดการเจ็บป่วย 3,420,000 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,526 รายทุกปี การเจ็บป่วยและเสียชีวิตทำให้สิ้นเปลืองทางด้านเงินทองและความรู้สึกต่อการสูญเสีย การใช้กรรมวิธีฉายรังสีเพื่อกำจัดเชื้อโรคได้รับการพิสูจน์และยืนยันความปลอดภัยโดยสามารถลดสาเหตุของเชื้อและผ่านการรับรองให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพิ่มความปลอดภัยทางด้านอาหาร (Wood, OB., and Bruhn, CM., 2001)

              กฎข้อบังคับสำหรับปริมาณรังสีถูกกำหนดไว้ที่ระดับต่ำพอเหมาะตามวัตถุประสงค์หรือการนำไปใช้ประโยชน์ ปริมาณรังสีที่อนุญาตไว้โดยองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ กำหนดไว้ที่ 3 ระดับ ระดับต่ำสุดของปริมาณรังสี 1 กิโลเกรย์ สามารถควบคุมพยาธิตัวจี๊ด (Trichina) ในเนื้อ  หมูสด ช่วยยับยั้งการสุกของผลไม้และผักและควบคุมแมลง ตัวไร และแมลงบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ปริมาณรังสีระดับกลางไม่เกิน 10 กิโลเกรย์ สามารถควบคุมแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ เนื้อไก่ และอาหารอื่น ๆ ปริมาณรังสีระดับสูงที่สูงกว่า 10 กิโลเกรย์ สามารถควบคุมแมลงในสมุนไพร เครื่องเทศ ชา และผักแห้งชนิดต่าง ๆ (Osterholm, MT., and Norgan, AP., 2004)

              การฉายรังสีอาหารไม่นำมาใช้เพื่อทดแทนการผลิตและปรุงอาหารด้วยกรรมวิธีธรรมดา แม้ว่าจะทำลายเชื้อโรคได้ถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ก็ยังมีบ้างที่รอดชีวิตอยู่ได้ เช่น เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเน่าเสียจะมีความทนทานต่อรังสีจึงต้องใช้กรรมวิธีกำจัดที่มีปริมาณรังสีสูงขึ้น ดังนั้นการประกอบอาหารด้วยกระบวนการผ่านการฉายรังสีควรจะใช้ข้อควรระวังทางด้านความปลอดภัยทางอาหารเช่นเดียวกับอาหารอื่น การฉายรังสีอาหารไม่สามารถทำให้คุณภาพของอาหารที่ผ่านการฉายรังสีสดขึ้นหรือป้องกันการปนเปื้อนที่เกิดภายหลังจากการฉายรังสีได้ (Wood, OB., and Bruhn, CM., 2001)

              แม้ว่ามีการดำเนินงานวิจัยเกี่ยวกับการฉายรังสีเนื้อวัวและเนื้อไก่สดเป็นเวลากว่า 40 ปี แล้วก็ตามแต่ยังต้องการเทคโนโลยีอื่นเข้ามาผนวกกับเทคนิคการฉายรังสี เช่น วิธีการบรรจุแบบ MAP: modified atmosphere packaging โดยผลงานที่ผ่านมาเน้นการถูกทำลายโดยจุลินทรีย์และเชื้อโรค บางรายงานเสนอโดยเน้นคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัสของเนื้อวัวและเนื้อไก่สด ซึ่งผลของรังสีกับการบรรจุที่เปลี่ยนแปลงตามชนิดของเนื้อวัวและเนื้อไก่และสัดส่วนของอากาศในหีบห่อนั้น มีผลให้เกิดกลิ่น รสชาติและเปลี่ยนสีเนื่องจากออกซิเจนที่อยู่ภายในหีบห่อ ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและเกิดสารพิษ การใช้รังสีปริมาณ 1 กิโลเกรย์ สามารถช่วยยืดอายุเนื้อวัวได้แต่จะส่งกลิ่นไม่น่ารับประทาน สำหรับเนื้อหมูฉายรังสีปริมาณ 1 กิโลเกรย์ จะปลอดภัยจากพยาธิตัวจิ๊ด (Trichinae) โดยไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นและสี แต่จำพวกสัตว์ปีกต้องใช้ปริมาณรังสี 3 กิโลเกรย์ จึงจะปลอดภัยจากเชื้อโรค การยืดอายุการเก็บบรรจุภัณฑ์เนื้อวัวที่ผ่านการฉายรังสีทำได้โดยใช้ระบบสุญญากาศเก็บรักษาในตู้เย็นและใช้รังสีปริมาณ 1.5 กิโลเกรย์  นอกจากศึกษาการยืดอายุและความปลอดภัยของอาหารฉายรังสีแล้ว ควรคำนึงถึงคุณภาพของอาหารฉายรังสีโดยนำเทคนิคอื่นเข้ามาผสม เช่น การบรรจุหีบห่อในระบบสุญญากาศและระบบ MAP เพื่อให้ความชัดเจนสำหรับนำมาปฏิบัติได้ดีที่สุดต่อไป (Lee, M., et al., 1995) 

              เนื้อวัวปรุงกึ่งสุกและเนื้อสดทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงรุนแรงได้ (Henorrhagic diarrhea) เนื่องจาก Escherichia coli O157:H7 จึงได้ทำการศึกษาผลของรังสีปริมาณ 0-2 กิโลเกรย์ ที่อุณหภูมิ -20 ถึง +20 องศาเซลเซียส ในสภาวะอากาศและสุญญากาศที่มีต่อเชื้อ E coli O157:H7 ในเนื้อไก่ ผลการทดลองพบว่าการใช้ปริมาณรังสีและอุณหภูมิต่างกันมีผลต่อ E coli O157:H7 การใช้ปริมาณรังสีเพียง 0.27 กิโลเกรย์ที่อุณหภูมิ +5  องศาเซลเซียส และ 0.42 กิโลเกรย์ ที่อุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียสสามารถกำจัด E coli O157:H7 ได้ 90 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการฉายรังสีเป็นวิธีที่ใช้ควบคุมเชื้อโรคได้ (Thayer, DW., and Boyd, G., 1993) 

              สารคาโรทีนอยด์ (Carotenoids) และวิตามินเอเกี่ยวข้องกับวิธีที่นำมาใช้ในการผลิต ปริมาณคาโรทีนอยด์ในแครอทจะลดลงจาก 89.1% เหลือ 56.0% จากการปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์ตับที่เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินเอนั้นได้ทดลองโดยนำผลิตภัณฑ์ตับมาฉายรังสีเพื่อตรวจสอบปริมาณวิตามินที่ลดลง พบว่า รังสีปริมาณ 3 กิโลเกรย์ ไม่ทำให้วิตามินในผลิตภัณฑ์ตับลดลง เนื่องจากการฉายรังสีนั้นไม่ใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อหรือที่เรียกว่าวิธี “Cold pasteurization” (Taipina, MS., and Mastro, del NL., 2003)


การยอมรับของผู้บริโภคเกี่ยวกับอาหารฉายรังสี 

              มักมีคำถามเกี่ยวกับการยอมรับของผู้บริโภคอาหารฉายรังสี โดยสถาบันการตลาดที่เกี่ยวกับอาหารได้ทำการสำรวจการยอมรับการบริโภคอาหารฉายรังสีผ่านทางเวบไซต์ชื่อ Foodborne Diseases Active Surveillance Network (Foodnet) ผลสำรวจที่ได้รับจากประชาชนร้อยละ 50 ตอบรับว่า พร้อมที่จะซื้ออาหารฉายรังสี ถ้ามีการเชิญชวน และจะมีการตอบรับเพิ่มมากขึ้นถ้าราคาของอาหารฉายรังสีไม่แพงมากเกินไปกว่าอาหารที่ไม่ผ่านการฉายรังสี อัตราการยอมรับจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากผู้บริโภคเข้าใจถึงการฉายรังสีมีผลให้ช่วยลดอันตรายจากเชื้อแบคทีเรียลงได้ ในปี ค.ศ. 2000 หน่วยงานภาครัฐในสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้โรงงานอาหารทำการฉายรังสีเนื้อสดและผลิตภัณฑ์เนื้อเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคและจัดจำหน่ายในตลาดหลายแห่ง ทั้งนี้หากผู้บริโภคให้การยอมรับอาหารฉายรังสีย่อมมีผลดีต่อด้านการแพทย์และสาธารณสุข เนื่องจากการเกิดโรคต่าง ๆ มาจากผู้บริโภคสัมผัสหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม บางโรงงานที่ผลิตอาหารยังชะลอการใช้วิธีการฉายรังสีเนื่องจากเข้าใจว่ามีจำนวนผู้บริโภคไม่มากนักที่ตั้งใจซื้ออาหารฉายรังสี (Frenzen, PD., et al., 2008) จากผลการสำรวจดังกล่าวของ Foodnet ที่พบว่าเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนที่สำรวจยินดีที่จะซื้อเนื้อวัวบดหรือเนื้อไก่ที่ผ่านการฉายรังสี และมีเพียงหนึ่งในสี่ที่มีความตั้งใจที่จะจ่ายชำระด้วยความยินดีสำหรับอาหารเหล่านี้ แม้ว่าราคาจะสูงกว่าชนิดที่ไม่ผ่านการฉายรังสีก็ตาม การสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า ผลกระทบของอาหารฉายรังสีต่อด้านการสาธารณสุขมีข้อจำกัด นอกจากว่าความนิยมของผู้บริโภคจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการให้ความรู้และข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยและคุณประโยชน์ของอาหารฉายรังสีแล้ว เหตุผลสำคัญที่ผู้บริโภคไม่ต้องการซื้อเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของการสำรวจ คือ ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง ความปลอดภัย หรือ คุณประโยชน์ของอาหารฉายรังสีมีไม่เพียงพอต่อการรับประทานอาหารฉายรังสีนั่นเอง (Frenzen, PD., et al., 2008)

              การสำรวจเกี่ยวกับการซื้อผลิตผลทางการเกษตรของผู้บริโภค ผลิตผลแอปเปิ้ลที่ผ่านการฉายรังสีและไม่ฉายรังสี โดยการบริโภคแอปเปิ้ลและกำหนดราคาให้แอปเปิ้ลที่ผ่านการฉายรังสีมีราคาเปลี่ยนแปลงได้ แต่แอปเปิ้ลที่ไม่ฉายรังสีมีราคาปกติ พบว่า ผู้บริโภคที่ซื้อแอปเปิ้ลไม่ฉายรังสี ซื้อแอปเปิ้ลฉายรังสีและซื้อแอปเปิ้ลทั้งสองชนิดเท่ากับ 44%, 38% และ 18% ตามลำดับ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างราคาและการตัดสินใจซื้อสินค้ามีความแปรปรวนเกี่ยวเนื่องกับราคาที่ขึ้นลง ผู้บริโภคจะเปลี่ยนใจซื้อสินค้าชนิดที่มีราคาถูกกว่า มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพแอปเปิ้ลหลังจากการซื้อพบว่า ประมาณหนึ่งในสามตอบรับว่าคุณภาพของแอปเปิ้ลฉายรังสีมีคุณภาพดีกว่าและมีผู้บริโภคเพียง 7.7 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบว่าแอปเปิ้ลฉายรังสีมีคุณภาพด้อยกว่าแอปเปิ้ลไม่ฉายรังสีและพบความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของสีและสิ่งที่เห็นภายนอก สำหรับความสดและความแน่นของเนื้อแอปเปิ้ลมีความใกล้เคียงกัน ประมาณหนึ่งในสี่คิดว่าชอบแอปเปิ้ลฉายรังสีมากกว่า การนำเทคนิคฉายรังสีเพื่อทดแทนการใช้สารเคมีซึ่งถูกห้ามใช้แล้วนั้นเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคในการตัดสินใจยอมรับโดยต้องเพิ่มความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเทคนิคการฉายรังสีเพื่อถนอมอาหารให้แก่ผู้บริโภคได้เลือกซื้อมากขึ้น (Terry, DE., and Tabor, RL., 1990)

              ผลการทดลองเพื่อประเมินผลการยอมรับของผู้บริโภคโดยใช้รังสีแกมมาเพื่อถนอมอาหารเนื้อบดแช่แข็งบรรจุในหีบห่อสุญญากาศ  ด้วยการใช้ปริมาณรังสี 3.0 และ 4.5 กิโลเกรย์ หลังจากฉายรังสีแล้วนำมาเก็บที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 27-29 วัน แล้วนำมาย่างเพื่อประเมินกลิ่น รสชาติ ความนุ่ม ความชุ่มฉ่ำ ของเนื้อ ผลการทดลองพบว่า ไม่พบความแตกต่างของรสชาติ ความนุ่ม และความชุ่มฉ่ำระหว่างเนื้อบดฉายรังสีปริมาณ 3.0 และ 4.5 กิโลเกรย์ แต่หลังจากนำเนื้อบดผสมกับส่วนผสมอื่นเพื่อทำแฮมเบอเกอร์พบว่า ผู้บริโภคให้คะแนนเนื้อบดฉายรังสีปริมาณ 3.0 กิโลเกรย์ไม่แตกต่างจากเนื้อที่ไม่ผ่านการฉายรังสี  แต่เนื้อบดฉายรังสีที่ปริมาณ 4.5 กิโลเกรย์ มีคุณภาพด้อยกว่าเล็กน้อย (Wheeler, TL., Shackelford, SD., and Koohmaraie, M., 1999)


บทสรุป 

              การฉายรังสีอาหาร (Food irradiation) เป็นวิธีการหนึ่งของการถนอมอาหารให้เก็บรักษาได้นานขึ้น  รังสีเป็นพลังงานที่มีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถทะลุทะลวงผ่านวัตถุได้สูง แต่ไม่ทำให้วัตถุนั้นเปลี่ยนเป็นสารรังสีและการฉายรังสีอาหารจะใช้ปริมาณรังสีต่ำ จึงไม่มีการตกค้างและสะสมสารรังสีในอาหารดังที่วิตกกังวลกัน  ประโยชน์ที่ได้จากการฉายรังสีอาหารและผลิตผลเกษตร เช่น ฆ่าเชื้อโรค  พยาธิและแมลง  การชะลอการสุกของผลไม้  การยับยั้งการงอกของหอมหัวใหญ่ การชะลอการบานของเห็ด ฯลฯ อาหารบางประเภทนั้นไม่เหมาะที่จะนำมาฉายรังสีเนื่องจากทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ได้แก่ นมและอาหารที่มีไขมันสูง 

              การยอมรับอาหารฉายรังสีของผู้บริโภค (Consumer acceptance of irradiated food) เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาอาหารฉายรังสี แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมายเพียงใด ทั้งนี้อาจเนื่องจากความรู้สึกและการรับรู้เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่นำไปใช้ในสงครามโลกได้ทำลายล้างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง มีการศึกษาวิจัยเรื่องความปลอดภัยของการบริโภคอาหารฉายรังสีอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้ได้คำตอบสำหรับข้อสงสัยต่างๆ ของผู้บริโภคจนกระทั่งปัจจุบันมีประเทศที่ประกาศยอมรับอาหารฉายรังสีแล้วกว่า 40 ประเทศ  เช่น  สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส แคนาดา จีน ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ ปากีสถาน ฯลฯ ประเทศไทยออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขปี พ.ศ. 2529 ฉบับที่ 103 เรื่องการกำหนดวิธีการผลิตอาหาร ซึ่งมีกรรมวิธีการฉายรังสี ชนิดอาหารที่อนุญาตให้ฉายรังสี โดยระบุชนิดและปริมาณรังสีสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้แตกต่างตามชนิดอาหารและวัตถุประสงค์ แต่ต้องไม่เกิน 10 กิโลเกรย์ และอาหารฉายรังสีต้องติดฉลากแสดงรายละเอียด เช่น ชื่อและที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตและฉายรังสี วัตถุประสงค์การฉายรังสี วัน/เดือน/ปีที่ฉายรังสีและติดเครื่องหมายแสดงอาหารฉายรังสี สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงฯ ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสากล (Codex) จึงออกประกาศกระทรวง (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2549 เรื่อง อาหารฉายรังสี แทนฉบับเดิม มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 โดยอ้างอิงข้อกำหนดมาตรฐานสากล Codex General Standard for Irradiation Food (CODEX-STAN 106-1983, Rev. 1-2003) และ Recommended International Code of Practice for Radiation Processing of Food (CAC/RCP 19-1979, Rev. 2-2003) ประกาศกระทรวง (ฉบับที่ 297) พ.ศ. 2549 ได้กำหนดคำนิยามต่าง ๆ ชนิดของรังสีที่ใช้ เช่น รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์  รังสีอิเล็กตรอน กำหนดปริมาณรังสีดูดกลืนโดยเน้นที่วัตถุประสงค์ของการฉายรังสี การควบคุมกรรมวิธีการผลิต การฉายรังสีซ้ำ โดยอาหารฉายรังสีต้องแสดงฉลากชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตและผู้ฉายรังสีต้องแสดงข้อความว่า “ผ่านการฉายรังสีแล้ว” ระบุวัตถุประสงค์ของการฉายรังสี แสดงวันเดือนและปีที่ทำการฉายรังสี อาหารฉายรังสีจึงเป็นอาหารที่ต้องควบคุมกรรมวิธีการผลิตอย่างเข้มงวดควบคู่กับการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้บริโภค ตลอดจนการวิจัยพัฒนาเพื่อให้เป็นอาหารที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
 

อ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 297, พ.ศ. 2549. เรื่องอาหารฉายรังสี. ราชกิจจานุเบกษา. 1 กันยายน 2549. เล่มที่ 123 ตอนที่ 93 ง.
ยุทธพงศ์ ประชาสิทธิศักดิ์. กฎหมายอาหารฉายรังสีของประเทศไทย.  [ออนไลน์] [อ้างถึง 24 มิถุนายน 2551] เข้าถึงได้จาก:
              http://www.tint.or.th/nkc5002/irradiation-food-law-1.pdf 

สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย. อาหารฉายรังสี (Food irradiation). [ออนไลน์] [อ้างถึง 24 มิถุนายน 2551]

              เข้าถึงได้จาก: http://www.nst.or.th/article/article143/article483052.html

สมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย. 10 คำถามเกี่ยวกับการฉายรังสีอาหาร. [ออนไลน์] [อ้างถึง 24 มิถุนายน 2551] เข้าถึงได้จาก:

              http:// www.nst.or.th/ article/ article143/ article483052.html

อรอนงค์ มหัคฆพงศ์. ส่งออกอาหารฉายรังสีต้องระวัง. [ออนไลน์] [อ้างถึง 24 มิถุนายน 2551] เข้าถึงได้จาก: http://www.nfi.or.th/stat/file/warning-12-1pdf

Codex. Codex general standard for irradiated foods. [Online] [cited 24 June 2008]

              Available from internet: http://Siweb.dss.go.th/standard/Fulltext/codex/CXS_106E.pdf 

Frenzen, PD., et al. Consumer acceptance of irradiated meat and poultry products. [Online] [cited 24 June 2008] Available from internet:

              http:// www.ers.usda.gov/publications/aib757/.pdf

Inabo, HI. Irradiation of Foods. A better alternative in controlling economic losses. Journal of Applied Sciences & Environmental Management,

              2005, vol. 10, no. 2, p. 151-152.

Lee, M., et al. Irradiation and packaging of fresh meat and poultry. Journal of Food Protection, vol. 59, no. 1, p. 62-72.

Morehouse, KM., and Komolprasert, V. Irradiation of food and packaging: an overview. [Online] [cited 2 July 2008]

              Available from internet: http://www.cfsan.fda.gov/~dms/irraover.html

Osterholm, MT., and Norgan, AP. The role of irradiation in food safety. The New England Journal of Medicine, April, 2004, vol. 350, no. 18, p. 1898-1901.

Shea, KM. Technical Report: Irradiation of food, Pediatrics, December, 2000, vol. 106, no. 6,  p. 1505-1510.
Smith, JS., and Pillai, S. Irradiation and food safety, Food Technology, November, 2004, vol. 58, no. 11,      p. 48-55.
Taipina, MS., and Mastro, del NL. Radiation effects on vitamin A and ß–carotene contents in liver products; Nukleoika, 2003, vol. 48, no. 1, p. 9-11.
Tauxe, RV. Food safety and irradiation: Protecting the public from foodborne infections, Emerging Infectious Diseases, June, 2001, vol. 7, no.3, p. 516-521.

Terry, DE., and Tabor, RL. Consumer acceptance of irradiated food products: An apple marketing study. Journal of Food Distribution Research,

              June, 1990, vol. 21, no. 2, p. 63-74. 

Thayer, DW., and Boyd, G. Elimination of  Escherichia coli  0157:H7 in meats by gamma irradiation, applied and environmental microbiology.

              American Society for Microbiology, April, 1993. vol. 59, no. 4, p. 1030-1034.

USDA. Irradiation and food safety. [Online] [cited 23 June 2008] Available from internet : http://www.fsis.usda.gov/PDF/Irradiation_and_Food_Safety.pdf

Wheeler, TL., Shackelford, SD., and Koohmaraie, M. Trained sensory panel and consumer evaluation of the effects of gamma irradiation on palatability of

              vacuum-packaged frozen ground beef patties jas.fass.org by on June 23,2008 copyright 1999. American Society of Animal Science, p. 3219-3224.

Wood, OB., and Bruhn, CM. Position of the American dietetic association: Food irradiation. Journal of the American Dietetic Association, February,

              2000, vol. 100, no. 2, p. 246-253.