- สารกันเสียจากสมุนไพรในเครื่องสำอาง
- ความหมายของเครื่องสำอาง
- ส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง
- ความหมายของสารกันเสีย
- ชนิดของสารกันเสีย
- ลักษณะที่ดีและการเสื่อมของสารกันเสีย
- อันตรายที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอาง
- ความสำคัญของพืชสมุนไพร
- คุณสมบัติของพืชสมุนไพรในการรักษาในด้านต่างๆ
- ตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการนำไปใช้เป็นสารกันเสียในเครื่องสำอาง
- การประเมินประสิทธิภาพของสารกันเสียในผลิตภัณฑ์
- ตัวอย่างความเหมาะสมของช่วงอายุครีมกับสารกันเสีย
- วิธีการเก็บรักษาเครื่องสำอาง
- บทสรุป
- อ้างอิง
- All Pages
บทนำ
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับร่างกายมนุษย์เพื่อความสะอาดและความสวยงาม ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้รับความสนใจมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายและมีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอางโดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนผสมมากมาย เครื่องสำอางที่มีปริมาณน้ำสูง จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการปนเปื้อนของจุลินทรีย์หรือเป็นสาเหตุให้สุขภาพของผู้บริโภคมีความเสี่ยงเกิดขึ้น จุลินทรีย์ก่อโรคที่มักพบในเครื่องสำอาง ได้แก่ Staphylococcus aureus และ Pseudomonas aeruginosa (Lundov, MD., 2009)
เมื่อมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเครื่องสำอางแล้ว ก็จะทำให้ส่วนผสมต่างๆ ในเครื่องสำอางเกิดการเปลี่ยนแปลงและในที่สุดก็ทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดการเน่าเสีย แนวทางในการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนั้นคือ การเติมสารกันเสียเข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดว่า เครื่องสำอางจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยจะต้องผ่านการประเมินจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง มีสารกันเสียที่มีความแตกต่างกันมากมายที่มีความเหมาะสมในการนำมาใช้ในเครื่องสำอาง แต่ตลาดเครื่องสำอางได้ควบคุมการใช้สารกันเสียในเครื่องสำอางไว้เพียงไม่กี่ชนิด เช่น Parabens, Formaldehyde, Formaldehyde releasers และ Methylchloroisothiazolinone/Methylisothiazolinone การใช้สารกันเสียจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของทางคณะกรรมการ หากใช้ในเกินกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ ย่อมส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ทำให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ และเป็นสาเหตุให้เป็นโรคผิวหนังได้
สารกันเสียที่นิยมนำไปใช้ในเครื่องสำอางนั้น ส่วนใหญ่เป็นสารกันเสียสังเคราะห์ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ได้ง่าย โดยพบว่าประมาณ 6% ของผู้บริโภคเกิดอาการแพ้เนื่องมาจากสารกันเสียในเครื่องสำอาง ดังนั้นแนวทางการแก้ไขอาการแพ้ดังกล่าว จึงควรใช้สารกันเสียที่มาจากธรรมชาติ เพราะน่าจะมีความปลอดภัยกับผู้บริโภคและเหมาะกับผู้ที่แพ้ง่ายมากกว่า การนำสารสกัดจากพืชสมุนไพรมาทำเป็นสารกันเสียในเครื่องสำอางนั้น เป็นวิธีการที่น่าสนใจ เนื่องจากพืชสมุนไพรมีคุณสมบัติเป็นยาอยู่แล้ว หากนำมาเป็นสารกันเสียก็ย่อมส่งผลดีด้วยเช่นกัน
ความหมายของเครื่องสำอาง
เครื่องสำอางตามความหมายของพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 หมายถึง
1. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่างๆด้วย แต่ไม่รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย
2. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางโดยเฉพาะ หรือ
3. วัตถุอื่นที่กำหนดโดยกฎกระทรวงให้เป็นเครื่องสำอาง
ส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง (Biopluschem, 2553)
เครื่องสำอางแต่ละชนิดจะประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม แต่โดยรวมแล้วเครื่องสำอางทั่วๆ ไป มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1. น้ำ (Water)
น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในเครื่องสำอาง น้ำที่ใช้มักจะเป็นน้ำกลั่น เพื่อความบริสุทธิ์ ไม่มีสารเจือปนและปราศจากเชื้อโรค เครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของเครื่องสำอางชนิดนั้น เช่น ครีมจะมีส่วนผสมของน้ำกับน้ำมัน โลชั่นคือ ครีมที่มีน้ำมากกว่า โทนเนอร์จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
2. น้ำมัน (Oil)
เครื่องสำอางโดยทั่วไปที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ ครีม น้ำมันหรือไขมันในครีม จะทำหน้าที่ป้องกันการระเหยออกไปจากผิวหนัง
3. สารที่ทำให้ข้น (Consistance)
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำเป็นต้องมีสารที่ทำให้ข้นนี้ เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างน้ำกับน้ำมันให้เข้ากันได้ ตัวอย่างสารที่ทำให้ข้น ได้แก่ Lactin, Isopropyl lanolate, Isopropyl myristate, Cocoa butter ฯลฯ
4. สารที่ทำให้ลื่น (Emollient)
เป็นสารที่ทำให้ส่วนผสมอื่นๆ สามารถเกลี่ยหรือซึมได้ทั่วผิวหนัง ตัวอย่างสารที่ทำให้ลื่น ได้แก่ Propylene glycol, Butylene glycol, Polysorbates, Polypropylene glycol ฯลฯ
5. สารดูดซับน้ำ (Huemactant)
เป็นสารที่ทำให้ผิวหนังรักษาน้ำไว้ได้ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สารเหล่านี้มีหลายชนิด ได้แก่ Hyaluronic acid, NaPCA, Collagen, Elastin, Protein, Amino acid ฯลฯ สารเหล่านี้เป็น Moisturizer ที่ดีสำหรับผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าไปในผิวหนังได้
6. สารกันเสีย (Preservative)
ความสะอาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากในทุกขั้นตอนการผลิตเครื่องสำอาง ภาชนะที่บรรจุจะต้องสะอาด ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ หรือแม้กระทั่งขั้นตอนการใช้ของผู้บริโภค หากมือหรืออุปกรณ์ที่นำมาใช้ร่วมกับเครื่องสำอางไม่สะอาด ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์เสียหรือบูดได้ง่าย ดังนั้นจึงมีการใส่สารกันเสียในเครื่องสำอาง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์และยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น ยกเว้นเครื่องสำอางที่ผลิตไว้ใช้เองไม่จำเป็นต้องใส่สารกันเสีย เพราะมีปริมาณไม่มาก แต่ควรนำไปแช่ตู้เย็น ก็จะสามารถเก็บไว้ใช้ได้ 2-3 สัปดาห์ ตัวอย่างสารกันเสียที่นิยมใช้ในเครื่องสำอาง ได้แก่ สารกันเสียสังเคราะห์ เช่น Butylated hydroxyanisole (BHA), Butylated hydroxytoluene (BHT), Parabens, Sodium bisulfate ส่วนสารกันเสียจากธรรมชาติ เช่น Sassafras oil, Ethyl vanillin, Helipzimt K, Aqua conservan, Kalliumsorbat เป็นต้น
7. น้ำหอม (Perfume)
น้ำหอมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการผลิตเครื่องสำอางค่อนข้างมาก ผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดมีการใส่น้ำหอม เพื่อให้มีกลิ่นหอมน่าใช้และเป็นเอกลักษณ์ การใช้น้ำหอมเกิดขึ้นในอียิปต์มากกว่า 4000 ปีแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นน้ำหอมจากธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันได้มีการสังเคราะห์สารหอมกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติและกลิ่นแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมามากมาย
8. สี (Color)
สีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในเครื่องสำอาง สีจะทำหน้าที่ที่แตกต่างกันไป เช่น ทำหน้าที่ในการทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เท่านั้น เพื่อบ่งบอกความแตกต่างของการใช้ หรือเพื่อบ่งบอกความเหมาะสมของเครื่องสำอางแต่ละชนิดกับแต่ละบุคคล
สีที่นำมาใช้ในเครื่องสำอางมี 2 แบบ คือ สีที่ได้จากธรรมชาติและสีสังเคราะห์ สำหรับสีที่ได้จากธรรมชาติจะเป็นสีที่มีความปลอดภัยและน่าใช้กว่าสีสังเคราะห์ แต่จะมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก จึงนิยมใช้สีสังเคราะห์แทน แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ได้ง่าย เพื่อความปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงและเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีสีจะดีที่สุด
ความหมายของสารกันเสีย
สารกันเสีย หมายถึง สารที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย รา ยีสต์ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตจนกระทั่งขั้นตอนการบริโภค
จุลินทรีย์มักพบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบริเวณผิวหนัง อากาศรอบๆ ตัวและในน้ำดื่ม จึงเป็นเรื่องง่ายที่จุลินทรีย์เหล่านี้จะปนเปื้อนเข้าไปในเครื่องสำอาง เป็นสาเหตุให้เกิดการเน่าเสีย หรือทำให้สารเคมีในเครื่องสำอางเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมากและเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมและมีอาหารอย่างเพียงพอกับการเจริญของจุลินทรีย์ (ดังภาพที่ 1) ก็จะทำให้จุลินทรีย์เจริญได้อย่างรวดเร็ว การใส่สารกันเสียลงในผลิตภัณฑ์จึงเป็นการทำลายและยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้เจริญเติบโตและยังช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้น
เหตุผลสำคัญสำหรับการใช้สารกันเสียคือ การป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยลดความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อนหรือเน่าเสีย
(ที่มา : Siegert, W., and GmbH, S&M., 2005.)
ภาพที่ 1 ปัจจัยพื้นฐานสำหรับการเจริญของจุลินทรีย์
ชนิดของสารกันเสีย (Charoensiri, P., 2010)
สารกันเสียที่นำมาใช้โดยทั่วไปมี 2 ประเภท ได้แก่
1. สารกันเสียสังเคราะห์ สารกันเสียประเภทนี้เป็นที่นิยมนำมาใช้กันมากในวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เนื่องจากมีคุณสมบัติครบถ้วนและหาซื้อได้ง่าย เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป สารกันเสียสังเคราะห์ที่นิยมใช้ ได้แก่
- Parabens : Methyl-, Ethyl-, Propyl-, Butyl- เป็นชนิดที่นิยมใช้มากที่สุด (ประมาณ 80%)
- Urea derivatives : Imidazolidinyl Urea, Diazolidinyl Urea
- Isothiazolones : Methylchlorothiazolinone, Methylisothiazolinone
- Halogen : Iodo Propynyl Butyl Carbamate (IPBC), Methyldibromo Glutaronitrile
- Foemaldehyd : DMDM Hydantion
- Organic acid & Others : Sodium Benzoate, Sorbic acid, EDTA, Phenoxyethanol, Triolosan, Quaternium-15
2. สารกันเสียจากธรรมชาติ (Natural Preservatives) เป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการทำลายหรือยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่
- แมลง (Insects) : Honey Propolis
- น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) : ต้นชา, เมล็ดสะเดา, ไทม์, ยูคาลิปตัส
- สารสกัด (Extracts) : สารสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากเมล็ดจำพวกส้มและมะนาว
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) : วิตามินอีและวิตามินซี
ลักษณะที่ดีและการเสื่อมของสารกันเสีย (Bombeli, T., 2010)
สารกันเสียที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1. ออกฤทธิ์ควบคุมเชื้อได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรียและฟังไจ
2. มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ตลอดอายุของผลิตภัณฑ์
3. ละลายในน้ำได้ดี ไม่ละลายในน้ำมัน
4. มีประสิทธิภาพในช่วง pH ที่กว้าง
5. ไม่เกิดปฏิกิริยากับสารอื่นในเครื่องสำอาง
6. ไม่มีกลิ่น ไม่มีสีและมีความปลอดภัยกับผู้บริโภค
คุณสมบัติข้างต้นเป็นลักษณะของสารกันเสียที่ดี แต่สำหรับการเสื่อมของสารกันเสีย มีลักษณะดังนี้
นอกจากผลิตภัณฑ์จะเกิดเส้นใยสีเทา-เขียว (ขึ้นรา) ปรากฏอยู่บนผิวหน้าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงความเสื่อมของผลิตภัณฑ์แล้ว ยังมีลักษณะอื่นที่ปรากฏได้อีก คือ
1. ความหนืด (viscosity) ของผลิตภัณฑ์ลดลง
2. ค่า pH ลดลง (ผลิตภัณฑ์กลายเป็นกรด)
3. สีของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป
4. ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นเน่าเหม็น ไม่พึงประสงค์
หากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีลักษณะไม่พึงประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยง เพราะหากนำมาใช้ต่อ อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคได้
อันตรายที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอาง (Lundov, MD., et al., 2009)
ในปี 1960 และ 1970 การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเครื่องสำอางมีปริมาณเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุให้ผลิตภัณฑ์เกิดการเน่าเสีย เป็นตัวก่อโรค จึงทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค และยังเป็นสาเหตุให้องค์ประกอบต่างๆ กลิ่นหรือสีในเครื่องสำอางเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจุลินทรีย์สามารถปนเปื้อนในเครื่องสำอางได้ 2 ทางคือ 1. ระหว่างขั้นตอนการผลิต 2. ขั้นตอนการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค
ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ครีม โลชั่น แชมพู คอนดิชันเนอร์ สบู่เหลว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้น้ำเป็นองค์ประกอบหลัก จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ได้ง่าย แนวทางการแก้ไขการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเครื่องสำอางคือ การใส่สารกันเสียเข้าไปเพื่อป้องกันการเจริญของจุลินทรีย์เหล่านั้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางขึ้น โดยพบว่า ประมาณ 6% ของผู้บริโภค มีสาเหตุหลักมาจากสารกันเสียหรือน้ำหอมที่ใส่ในเครื่องสำอางนั่นเอง
สารกันเสียสังเคราะห์เป็นชนิดที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากกว่าสารกันเสียจากธรรมชาติ เพราะมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการและค่อนข้างครบถ้วนในการเป็นสารกันเสียที่ดี แต่มีรายงานพบว่า สารกันเสียสังเคราะห์บางชนิดไม่ปลอดภัยกับผู้บริโภค เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้เป็นเวลานานแล้ว ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในเพศหญิง และยังทำให้อวัยวะสืบพันธุ์เพศชายบกพร่อง รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งอัณฑะและทำลายระบบประสาทอีกด้วย ดังนั้นวิธีทางแก้ไขที่จะหลีกเลี่ยงการใช้สารกันเสียสังเคราะห์คือ การหันมาใช้สารกันเสียที่มาจากธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย สารสกัดจากพืชสมุนไพร วิตามินชนิดต่างๆ เป็นต้น ปัจจุบันการใช้สารกันเสียจากสมุนไพรมีจำนวนมากขึ้น แต่เกิดจากกระบวนการลองผิดลองถูกมากกว่า แต่เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีหลักฐานที่แสดงว่าพืชสมุนไพรนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถฟื้นฟู รักษาและปกป้องผิวได้อีกด้วย (Bombeli, T., 2010) นอกจากนี้โดยพื้นฐานของพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเป็นยาอยู่แล้ว จึงเหมาะที่จะนำมาทำเป็นสารกันเสียในเครื่องสำอางเพื่อความมีประสิทธิภาพและเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ความสำคัญของพืชสมุนไพร (รังสรรค์ ชุณหวรากรณ์, 2553)
พืชสมุนไพร หมายถึงพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ปรุงหรือประกอบเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพร่างกายได้
1. ความสำคัญในด้านสาธารณสุข
พืชสมุนไพรเป็นผลผลิตทางธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยนำมาใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่หลังจากที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ความนิยมในการใช้พืชสมุนไพรมาทำยาลดลงไป เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยพืชสมุนไพร ในปี พ.ศ. 2522 จึงได้มีการตื่นตัวเรื่องพืชสมุนไพรอีกครั้ง โดยได้นำไปเข้าร่วมกับแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 4 ต่อเนื่องจนถึงฉบับที่ 7 ซึ่งจะเห็นได้ว่าพืชสมุนไพรมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่ง
2. ความสำคัญในด้านเศรษฐกิจ
ปัจจุบันสมุนไพรเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างมาก ทำให้พืชสมุนไพรเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศและเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพและแหล่งปลูกสมุนไพรเพื่อการส่งออก เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศทางหนึ่ง
คุณสมบัติของพืชสมุนไพรในการรักษาในด้านต่างๆ (Bombeli, T., 2010)
จากคุณสมบัติของพืชสมุนไพรในการรักษาด้านต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการรักษาโรคผิวหนัง ต้านอาการอักเสบ ต้านรังแค จึงมีการนำพืชสมุนไพรเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติรักษาโรคผิวหนัง
โรคผิวหนังหรือผิวหนังอักเสบ เป็นสภาวะที่ผิวหนังมีลักษณะต่างๆ เช่น มีรอยแดง ตกสะเก็ดและมีอาการคัน สำหรับสมุนไพรที่สามารถนำมารักษาโรคผิวหนังได้ เช่น
1.1 ขมิ้น (curcuma longa) โดยการนำเหง้าของขมิ้นมาบดให้เป็นผงสีเหลือง ซึ่งขมิ้นจะทำหน้าที่ในการลดอาการอักเสบ ฯลฯ
2. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษาสิว
สิว เป็นสภาวะที่เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อและรูขุมขนเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบและเป็นหนอง (หัวสีขาว) พืชที่มีคุณสมบัติในการรักษาสิว ได้แก่
2.1 Artemisia (Artemisia vulgaris & absinthum) โดยการนำส่วนของพืชทั้งหมด หรือใบแห้งของพืชมาต้ม แล้วสกัดเอาน้ำออกมา
2.2 โหระพา (basileus) โดยการสกัดเอาน้ำมันออกมา โดยน้ำมันโหระพาจะมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและเชื้อแบคทีเรีย
2.3 ถั่วลันเตา (pisum sativum) โดยวิธีการนำถั่วลันเตามาบดละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า
2.4 ฟักทอง (cucurbita pepo) โดยการใช้น้ำมันเมล็ดฟักทอง ใบฟักทองแห้ง หรือนำรากฟักทองมาชงไว้สำหรับดื่ม
2.5 หอมแดง (allium cepa) น้ำหอมแดงจะมีคุณสมบัติในการต้านจุลินทรีย์และต้านการอักเสบ
3. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการชะลอความแก่
ผิวหนังที่เหี่ยวย่นคือ ลักษณะที่เกิดจากการบางลงและเกิดรอยย่นของผิวหนังชั้นนอกเป็นเส้นๆ จนเกิดรอยแตก และรอยย่น ที่เรียกว่า รอยตีนกา ผลของการชะลอความแก่คือ การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในผิวหนังและทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง พืชที่มีคุณสมบัติในการชะลอความแก่ ได้แก่
3.1 โสม (panax ginseng) พืชชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นเมทาบอลิซึมของผิวหนังและการไหลเวียนของเลือด การสร้างเคราติน ให้ความชุ่มชื้นและความอ่อนนุ่ม ลดรอยเหี่ยวย่นและทำให้ผิวขาวขึ้น
3.2 ชาเขียว/ดำ ประกอบด้วยโพลีฟีนอล เช่น catechain
3.3 สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (vitis vinifera) ประกอบด้วย procyanidins สารต้านอนุมูลอิสระและต้านประสิทธิภาพในการสืบพันธุ์ที่ลดลง และนิยมใช้ในเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวกระจ่างใส
3.4 โคเอนไซม์ Q10 (ubiquinone) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงชนิดเดียวที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีประสิทธิภาพในการชะลอความแก่
4. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
การอักเสบเป็นลักษณะของสภาวะที่ผิวหนังเกิดการติดเชื้อ พืชที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ได้แก่
4.1 Red clover (trifolium pretense) ประกอบด้วย isoflavones มีการนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางในโลชั่นกันแดด
4.2 คาโมไมล์ (matricaria recutita) ส่วนผสมที่สำคัญ ได้แก่ flavonoids, apigenin และ bisabolol (ต้านการอักเสบของ leukotriens) คาโมไมล์สามารถนำไปใช้ได้หลายกระบวนการ เช่น การสกัด ชง หรือทำเป็นน้ำมันหอมระเหย
4.3 ลูกซัค (trigonella foenum) เป็นสมุนไพรที่เก่าแก่ของโลก เมล็ดของลูกซัคมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบ
4.4 โจโจ้บา (buxus chinensis) ประกอบด้วยกรดไขมันที่มีความหลากหลาย มีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านเชื้อจุลินทรีย์
4.5 รากชะเอมเทศ (glycyrrhiza glabra) ประกอบด้วยสาร glycyrrhizin ที่มีประสิทธิภาพ
5. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิว
เครื่องสำอางหลายชนิดประกอบด้วยสูตรต่างๆ ที่ปกป้องผิวจากสารอันตรายภายนอก พืชที่มีคุณสมบัตินี้ ได้แก่
5.1 ว่านหางจระเข้ (aloe barbadensis) มีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบและรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี
5.2 โอ๊ต เช่น ข้าวโอ๊ตบดหยาบๆ รำข้าว ดอกโอ๊ต น้ำมันโอ๊ต hydrolyse oat protein หรือ oat beta-glucan มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและชะลอความแก่
6. สมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษารังแค
รังแค เป็นลักษณะของการตกสะเก็ดที่เกี่ยวข้องกับการลดลงของไขมันในชั้นผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดแนวโน้มในการติดเชื้อของจุลินทรีย์และฟังไจได้ พืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษารังแค ได้แก่ เสจ (Sage), โรสแมรี่ (Rosemary), ไทม์ (Thyme), กระเทียม (Garlic) และผลวอลนัท (Walnut)
ตัวอย่างพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการนำไปใช้เป็นสารกันเสียในเครื่องสำอาง (Quirin, KW., 2007)
พืชสมุนไพรที่มีการทดลองแล้วว่า สามารถนำมาเป็นสารกันเสียในเครื่องสำอางได้ มีดังต่อไปนี้
1. St John's wort
เป็นพืชสมุนไพรชนิดใหม่ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hypericum perforatum ตั้งแต่อดีต St John's wort มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลไหม้ แผลเปื่อยและเกิดจากการโดนสัตว์กัดต่อย เมื่อไม่นานมานี้พบว่า มีฤทธิ์ในการรักษาความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น อาการซึมเศร้า
องค์ประกอบทางเคมี : ที่สำคัญมี 2 กลุ่ม (อนุชิต พลับรู้การ, 2553) คือ
สนั่น ศุภธีรสกุลและฉัตรชัย วัฒนาภิรมย์สกุล. ว่านชักมดลูก. [ออนไลน์] [อ้างถึง 2 ธันวาคม 2553]
เข้าถึงได้จาก http://pcog.pharmacy.psu.ac.th/thi/Article/2546/09-46/curcumab.pdf
อนุชิต พลับรู้การ. St John'swort. [ออนไลน์] [อ้างถึง 2 ธันวาคม 2553] เข้าถึงได้จาก http://pcog.pharmacy.psu.ac.th/thi/Article/2546/7-46/07-46.html
Biopluschem. เครื่องสำอาง. [ออนไลน์] [อ้างถึง 9 ธันวาคม 2553 ] เข้าถึงได้จาก http://www.biopluschem.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=145089
Bombeli, T. How to used preservatives in cosmetics. [Online] [cited 8 November 2010] Available
from internet : http://www.makingcosmetics.com/articles/01-how-to-use-preservatives-in-cosmetics.pdf
Bombeli, T. Tested plants used in cosmetics. [Online] [cited 10 November 2010]
Available from internet : http://www.makingcosmetics.com/articles/04-herbal-ingredients-in-cosmetics.pdf
Charoensiri, P. Preservatives in cosmetics. [Online] [cited 10 November 2010]
Available from internet : http://www.thaicosmetic.org/dev/documents/Preservatives.pdf
Godino, J. Usnea : immune-enhancing lichen. [Online] [cited 11 November 2010] Available from internet : http://www.herbalremediesinfo.com/usnea.html
Lundov, MD., et al. Contamination versus preservation of cosmetics : a review on legislation usage, infections, and contact allergy, 2009, vol. 60, p.70-78.
Mountain Rose Herbs. Neem seed oil. [Online] [cited 11 November 2010] Available from internet : http://www.mountainroseherbs.com/learn/oilprofile/neem_oil.php
Quirin, KW. Herbal extracts in support of natural cosmetics preservation. Cosmetic Science Technology, 2007, p. 20-30.
Siegert, W., and Gmbh, Schulke & Mayr. Microbiological quality management for the production of cosmetics and toiletries.
Cosmetic Science Technology, 2005, p. 189-195.
Vic Chorikoff. Natural preservation of cosmetics with herbal-activeTM. [Online] [cited 12 November 2010]
Available from internet : http--www.cherikoff.net-cherikoff-index.phps=file_download&id=16.url