ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP
กรรมวิธีการทำปลาสลิดเค็มแห้ง (นฤดม  บุญ-หลง.  2533)
              นอกจากกรรมวิธีการทำปลาสลิดเค็มตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว  ยังมีกรรมวิธีการทำปลาสลิดเค็มแห้งจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่น่าสนใจ  โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
              1. ขั้นตอนการทำปลาสลิดเค็มแห้ง
              การจะทำปลาสลิดให้มีรสดีนั้น ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญตั้งแต่การแปรรูปขั้นพื้นฐาน การขอดเกล็ด  การหมัก เวลาที่ใช้หมักและตากแห้งที่พอดี และวิธีการเก็บรักษาคุณภาพของปลาแห้ง รายละเอียดต่าง ๆ มีดังนี้
                    -  การแปรรูปขั้นพื้นฐาน
                       แหล่งปลาสลิดพบมากที่บางบ่อ  หรือ อ. คลองด่าน จ.สมุทรปราการ  จ.ฉะเชิงเทรา และ  จ. สมุทรสาคร ตลาดท่าเตียนเป็นตลาดค้าส่งที่สำคัญแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่จะขนกันทางเรือ จับจากบ่อขนใส่เข่ง ถึงที่แปรรูปก็นำลงใส่อ่างซีเมนต์ ปลาจะว่ายน้ำเต็มอ่าง การแปรรูปจากปลาที่มีชีวิตจะกินอร่อย  โดยเฉพาะปลาตัวเมียมีความอร่อยกว่า เพราะมีมันมาก สังเกตปลาตัวเมียได้จากตัวที่แป้น อ้วน สีขาว และไม่เหนียว ส่วนปลาตัวผู้จะผอมยาวและสีค่อนข้างคล้ำ  ถ้าเป็นปลาตายรสชาติจะไม่ดีนัก
                       การแปรรูปขั้นพื้นฐานมี 2 วิธีคือ
                       1) ใช้ปลาที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแช่น้ำแข็ง เพื่อเพิ่มน้ำหนัก ไม่ให้เน่าเสียและเนื้อปลาแข็ง  
                       2) นำปลาไปแช่น้ำเกลือ เพื่อป้องกันการเน่าเสีย จากนั้นนำปลาสลิดที่ผ่านการแปรรูปขั้นพื้นฐานมาฉีดน้ำ และเข้าสู่กระบวนการขอดเกล็ด
                    -  การขอดเกล็ดทำปลาสลิด
                       การขอดเกล็ดเพื่อทำปลาสลิดเค็มแห้งจะต้องขอดเกล็ดให้เกลี้ยง ตัดหัว ควักไส้ แยกเอาไข่ปลาไว้ต่างหาก หรือแยกเป็นปลาไข่  ล้างเลือดให้สะอาด ถ้าล้างไม่หมดเลือดปลาจะทำให้เกิดรา เน่าง่ายและมีกลิ่น จากนั้นเข้าสู่กระบวนการหมัก
                    -  การหมัก
                       การหมักของแต่ละผู้เชี่ยวชาญแตกต่างกันดังนี้
                      1) การหมักของอุดม และอารีย์ (2517)
                          หลังจากการขอดเกล็ด ตัดหัว ควักไส้ ดองเกลือในอัตราส่วนต่างๆ กัน ดังนี้ 
                          ปลาขนาดเล็ก อัตราส่วน ปลา : เกลือ 20 : 1
                          ปลาขนาดกลาง อัตราส่วน ปลา : เกลือ 19 : 1
                          ปลาขนาดใหญ่ อัตราส่วน ปลา : เกลือ 18 : 1
                          ทำการดองเกลือ 1 คืน (ประมาณ 12 ชั่วโมง) เอาออกมาล้าง
                      2) การหมักของ รศ. นฤดม บุญ-หลง (2533) 
                          การหมักใช้เกลือป่นคลุกเคล้าให้ทั่วแล้วนำไปหมักหรือดองในถังหมัก โดยถังหมัก 1 ถัง สามารถจุปลาได้ประมาณ 200 ตัว ซึ่งในขณะที่ทำการหมักจะมีฝาปิดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันลงไปไข่  แบ่งการหมักออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
                          2.1)  ใส่เกลือลงไปในปลาในจำนวนที่เหมาะสม
                          2.2)  การเพิ่มน้ำแข็งเข้าไป ซึ่งจะทำให้ปลามีคุณภาพดีและเค็มได้นานกว่า
                          หลังจากหมักปลาประมาณ 1 คืน ก็จะนำไปล้างน้ำเพื่อเอาเกลือออก และเกลือที่ใช้หมักปลาในถังหมักจะใช้ได้เพียงครั้งเดียว ถ้าหากจะทำการหมักปลาใหม่จะต้องล้างถังให้สะอาด และดำเนินการในขั้นตอนแปรรูป ขอดเกล็ด และหมักใหม่อีกครั้ง
                       3) การหมักของพรรณทิพย์
                           การทำเค็มแบบใช้น้ำเกลือโดยใช้อัตราส่วนปลา : ความเข้มข้นของน้ำเกลือ (ร้อยละโดยน้ำหนัก) คือ 1 : ~ 28 (อิ่มตัว) นาน 2 ชั่วโมง เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพราะใช้เวลาในการทำเค็มสั้นที่สุดและได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับสูง
                   -  การทำแห้ง
                      สำหรับกรรมวิธีการทำปลาสลิดแห้งมี 2 วิธี คือ
                     1) การทำแห้งโดยวิธีธรรมชาติ  
                         หลังจากหมักปลาตามระยะเวลาการหมักซึ่งแตกต่างกันในแต่ละสูตรข้างต้นแล้ว นำปลาไปล้างน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เพื่อเอาเกลือออก จากนั้นนำไปตากแดด โดยมีวิธีการตาก ดังนี้
                              • ควรตากในที่โล่ง ๆ อากาศถ่ายเทได้สะดวก ปลาจะแห้งเร็ว และไม่มีแมลงวัน
                              • การตากต้องไม่งอตัวปลา เพราะจะดูไม่สวย
                              • ก่อนตากปลาต้องทำให้ครีบแผ่ออก ดูแล้วสวยงาม
                         ระยะเวลาการตากปลาสลิดจะแตกต่างกันตามฤดูกาล ดังนี้
                              • ฤดูหนาวจะใช้เวลาตากประมาณ 1-2 แดด เพราะอากาศแห้งมีลมช่วยทำให้ปลาแห้งเร็ว
                              • ฤดูฝนจะใช้เวลาตากประมาณ 1.5 – 3 แดด
                     2) การทำแห้งโดยเครื่องอบแห้งแบบลมร้อน (TORRY KILN)  (พรรณทิพย์และกัลยา, 2530)
                         เครื่องอบแห้งแบบลมร้อน (Torry Kiln) ขนาดของช่องอบแห้ง (drying chamber) เท่ากับ 1.18 x 1.07 x 1.10 เมตร บรรจุอาหารในตะแกรงอบได้ 6 ชั้น สามารถควบคุมอุณหภูมิของลมร้อนที่เป่าเข้าช่องอบแห้งด้วยเครื่องเป่าลม (blower) ได้อุณหภูมิสูงสุดของการอบเท่ากับ 1000 ซ ทำงานได้ 24 ชั่วโมงและมีเครื่องเป่าลม blower ที่ปล่องทางออกของลมเพื่อดูดอากาศออกจากช่องอบแห้ง (ภาพที่ 5)
                         จากการศึกษาทดลองพบว่า  การอบแห้งปลาสลิดที่ผ่านการทำหมักในเครื่องอบแห้งแบบลมร้อนที่ 500 ซ ความเร็วลม 80 – 85 เมตรต่อนาทีเป็นเวลา 12 ชั่วโมง จะให้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับสูงสุด
 
      (ที่มา : พรรณทิพย์และกัลยา, 2530)
ภาพที่ 5  เครื่องอบแห้งปลาสลิดแบบลมร้อน
 
              2. คุณภาพและการเก็บรักษาปลาสลิดเค็มแห้ง
              การจัดเก็บรักษาปลาสลิดแห้งมีความสำคัญ ซึ่งการที่จะได้ปลาสลิดที่อร่อยนั้น ไม่ควรมีรสเค็มเกินไป และต้องมีความชื้นพอสมควร ซึ่งเป็นปัจจัยเกี่ยวกับคุณภาพของปลาสลิด  โดยคุณภาพของปลาสลิดที่จำหน่ายในท้องตลาด  ไม่ควรมีความชื้นในตัวปลาเกิน 30 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งพบว่า  ความชื้นในตัวปลาที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 25-29 เปอร์เซ็นต์ และมีความเค็ม 2-3 เปอร์เซ็นต์  ถ้าความชื้นน้อยเกินไป  แม้จะทำให้เก็บได้นานขึ้น แต่จะมีลักษณะแข็งเมื่อทอด  และถ้าความชื้นสูงเกินไป ปลาจะเน่าหรือมีกลิ่นไม่ดี  อีกทั้งการเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถเก็บปลาสลิดได้นานที่สุด  รองลงมาคือการเก็บไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก การใช้สารกันรา เช่น กรดโปรปิโอนิก (Propionic acid) และสารโซเดียมโปรปิโอเนท (Sodium propionate) ก็สามารถช่วยยืดอายุการเก็บได้ โดยพบว่า การใช้สาร Sodium propionate ได้ผลดีกว่า  โดยแช่ปลา 5 นาทีใน Sodium propionate ที่มีความเข้มข้น 0.5 เปอร์เซ็นต์  ก่อนนำไปตากแดด  เวลาในการตากแดดควรตากอย่างน้อย 2 แดด  ถ้าเป็นปลาขนาดเล็ก หรือขนาดกลาง และประมาณ 3 แดด ถ้าเป็นปลาตัวใหญ่ การใช้สารกันราโดยเก็บในภาชนะปิด เช่น ถุงพลาสติกที่จัดเก็บในอุณหภูมิไม่เกิน 15 องศาเซลเซียส จะทำให้เก็บได้นานขึ้น ซึ่งอาจเก็บได้นานถึง 8 เดือน (อุดม และ อารีย์, 2517) 
              จากการศึกษาคุณภาพทางประสาทสัมผัสและทางเคมีของตัวอย่างปลาสลิดเค็มแห้ง พบว่า ปลาสลิดเค็มแห้งที่มีลักษณะปรากฏ เนื้อสัมผัส และรสชาติที่ผู้บริโภคยอมรับสูงสุดจะมีความชื้นร้อยละ 39.40 ± 2.06 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ (โดยน้ำหนักแห้ง) 13.03 ± 0.91 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งความชื้นและปริมาณโซเดียมคลอไรด์จะใช้เป็นเกณฑ์ในการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการทำเค็มและอบแห้งปลาสลิด และผลจากการทดลองทำเค็มแบบใช้น้ำเกลืออิ่มตัวนาน 2 ชั่วโมงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากใช้เวลาในการทำเค็มสั้นที่สุดและการอบแห้งปลาสลิดที่ผ่านการทำเค็มในเครื่องอบแห้งแบบลมร้อนที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ความเร็วลม 80-85 เมตรต่อนาที เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับสูงสุด (พรรณทิพย์ และ กัลยา, 2530)
              ขั้นตอนในเก็บรักษาปลาสลิดแห้ง 
              1) ปลาสลิดที่ผ่านการตากมาแล้ว จะใช้ทางมะพร้าวหรือวัสดุอื่นๆ ปิดคลุมบนเผือกที่ตากปลาไว้
              2) พอปลาเย็นลงแล้วก็โกยใส่เข่งขนไปไว้ในร่ม
              3) นำปลามาเทออกจากเข่ง แล้วเรียงปลาให้เป็นวงกลมในเข่ง ต้องระวังน้ำมันจากตัวปลาสลิดไม่ให้ตกลงไปใส่ตัวอื่น จะทำให้ตัวอื่นแฉะและเป็นราง่าย
การบรรจุปลาสลิดแห้ง (กรมประมง, 2543)
              3. การบรรจุปลาสลิดแห้ง (กรมประมง, 2543)
              การบรรจุปลาสลิดแห้งในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถเก็บกลิ่นได้และไม่มีการปนเปื้อนของแมลงวันและจุลินทรีย์  จะช่วยรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษา  รวมทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ด้วย  ซึ่งวิธีการบรรจุ  สามารถดำเนินการได้ 3 วิธี  ดังนี้  
                    • บรรจุในถุงและปิดผนึกถุงแบบสุญญากาศ สามารถป้องกันการเปลี่ยนความชื้น การหืนของตัวปลาและการเจริญเติบโตของเชื้อรา โดยสามารถคงคุณภาพของปลาได้ 3 สัปดาห์ บรรจุภัณฑ์ที่ใช้เป็นถุง high density polyethylene bag (HDPE) ความหนาไม่น้อยกว่า 125 ไมครอน และถุงทำจากไนลอนรีดร่วมกับโพลิเอทิลีน ความหนาไม่น้อยกว่า 80 ไมครอน
                    • บรรจุในถาดปิดผนึกด้วยฟิล์มแบบแนบผิว สามารถช่วยรักษาคุณภาพปลาสลิดเค็มแห้งได้นานเช่นเดียวกับการบรรจุถุงสุญญากาศแต่ดูสวยงามกว่า จะใช้ถาดพลาสติก PVC และฟิล์มพลาสติก ความหนา 75 ไมครอน
                    • บรรจุในถุงเก็บกลิ่น ใช้ถุง KOP ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการซึมผ่านก๊าซได้ดี จึงสามารถเก็บกลิ่นปลาไว้ภายในถุงและรักษาความชื้นของปลาไว้ได้ การบรรจุแบบนี้ต้องมีถาดรองตัวปลาเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาตกลงไปรวมกันที่ก้นถุง บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ความหนาเนื้อถุงไม่น้อยกว่า 63 ไมครอน 
              ปลาสลิดจัดเป็นปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม)  อีกทั้งยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอีกหลายชนิด ทั้งโอเมก้า 3 เช่น กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด  เมื่อรับประทานเป็นประจำแล้วจะช่วยให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม  นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงที่มีส่วนเสริมสร้างเลือด  และที่สำคัญการรับประทานปลาสลิดยังไม่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง  เนื่องจากมีปริมาณโซเดียม โปตัสเซียม และคลอไรด์เพียงเล็กน้อย  (ครรชิต, 2556)
              การรับประทานปลาสลิดเค็มแห้งสุกหนึ่งหน่วยบริโภค คือปลาสลิดต้ม 53 กรัม หรือปลาสลิดทอด 39 กรัม หรือปลาสลิดย่าง 41 กรัม จะได้รับโปรตีนและไขมัน คิดเป็นร้อยละ  32.8 – 37.6  และ 4 -11.2 ส่วนกรดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลต่ำ เพียงร้อยละ 4 – 7 และ 20 – 26.6 แต่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงถึงร้อยละ 20 -83.6  07  (กรมประมง, 2543)  จึงจัดได้ว่าปลาสลิดเค็มแห้งเป็นแหล่งอาหารที่ดี  และอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย  เพราะมีโปรตีนสูง  พลังงานต่ำ  มีสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและโรคอื่นๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น