- ครีมกันแดด
- การจำแนกและหน้าที่ของผิวหนัง
- ประเภทและผลกระทบที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลต
- องค์ประกอบของครีมกันแดด
- คุณสมบัติของครีมกันแดด (Prpperties of sunscreens)
- ครีมกันแดดสำหรับผิวหนังที่เป็นสิว (Sunscreen for acne-prone skin)
- การเลือกและใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง
- การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ
- มะเร็งผิวหนัง (Skin cancer)
- การป้องกันมะเร็งผิวหนังด้วยวิตามินดี
- บทสรุป
- อ้างอิง
- All Pages
องค์ประกอบของครีมกันแดด
ครีมกันแดด มีการใช้มานานเป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของครีมกันแดดเกี่ยวข้องกับปริมาณและสูตรที่ผลิต โดยมีหลักการ 2 แนวทางในการป้องกันผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลต คือ ครีมกันแดดที่ใช้สารกรองแสงแบบเคมี (chemical filter) ในการดูดซับรังสี และครีมกันแดดที่ใช้สารกรองแสงแบบกายภาพ (physical filter) ที่ทำหน้าที่ร่วมกับอนุภาคเล็ก ๆ ช่วยป้องกันไม่ให้รังสีอัลตราไวโอเลตผ่านทะลุทะลวงเข้าผิวหนังโดยการสะท้อนกลับออกไป ครีมกันแดดที่ใช้สารกรองแสงแบบกายภาพผลิตได้จากอนุภาคชนิดอนินทรีย์ (non-organic pigment) เช่น zinc oxide หรือ titanium oxide ซึ่งเป็นสารสะท้อนรังสีที่มีขนาดอนุภาคเล็กมาก (10-100 นาโนเมตร) ในสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดความเข้มข้นของสารกรองแสงแบบกายภาพไว้ เนื่องจากไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้แม้ว่าจะมีขนาดอนุภาคเล็กที่สุดก็ตาม ดังนั้นครีมกันแดดที่ใช้สารกรองแสงแบบกายภาพจึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้และใช้ป้องกันแสงแดดได้ทันทีหลังจากใช้ทาบนผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ผลเสียจากการใช้ครีมกันแดดชนิดนี้ก็ปรากฏให้เห็นบ้าง เช่น การปรากฏของเม็ดสีขาวบนผิวที่ทาครีมกันแดด ที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงลดลง เนื่องจากการจับตัวรวมกันเป็นก้อน ดังนั้นการผลิตครีมกันแดดในภาคอุตสาหกรรม จึงควรหาวิธีในการรักษาสภาพอนุภาคของเม็ดสีให้มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ครีมกันแดดที่ใช้สารกรองแสงแบบเคมี ได้แก่ octyl triazone, urocanic acid, octyl methoxycinnamate, methylbenzylidene camphor, 3-benzylidene sulfonic acid และ PABA โดยสารเหล่านี้ล้วนมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งสิ้นกล่าวคือ บางชนิดใช้งานดีในช่วงความยาวคลื่นของรังสี UVB แต่ไม่ได้ผลสำหรับใช้งานในช่วงความยาวคลื่นของรังสี UVA อีกทั้งยังมีสภาพไม่คงตัวและมีผลให้เกิดอาการเป็นผื่นแพ้ จากการพัฒนาสารกรองแสงชนิด arebenzophenone-3,benzophenone-4, butylmeth-oxydibenzoylmethane (Parsol 1789), terephthalylidene sulfonic acid, Mexoryl SX และ Mexoryl XL พบว่า สาร Mexoryl มีความเสถียรตัวที่ดีเมื่ออยู่ในแสงแดดและดูดซับรังสีได้ทั้งในช่วงความยาวคลื่น UVB (290-320 นาโนเมตร) และความยาวช่วงคลื่น 320-360 นาโนเมตร โดยประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ที่ 344 นาโนเมตร ดังนั้นการผลิตครีมกันแดดที่ดีที่สุดคือ การผสมสารกรองแสงแบบเคมีและแบบกายภาพไว้ในครีมกันแดดตัวเดียวกัน (Voss, W. and Burger, C., 2008) และจากรายละเอียดข้างต้นจึงสามารถแบ่งครีมกันแดดได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. ครีมกันแดดชนิดอินทรีย์ (organic sunscreens) ครีมกันแดดชนิดนี้ สามารถแบ่งออกเป็นครีมกรองแสง UVA และ UVB หรืออาจใช้กรองทั้ง UVA และUVB ตามชนิดของแสงที่ดูดซับ ครีมกันแดดสำหรับกรองแสง UVA จะดูดซับแสงที่ช่วงความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร และครีมกันแดดสำหรับกรองแสง UVB จะ ดูดซับแสงที่ช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร (EM Industries, 2003) หลักการในการใช้ป้องกันแสงแดด และเป็นตัวดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตของ organic sunscreens ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีที่ประกอบด้วย aromatic compounds และ functional group 2 กลุ่ม ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับและปลดปล่อยอิเล็กตรอนในช่วงที่โมเลกุลของรังสีอัลตราไวโอเลตถูกกระตุ้นแล้วทำให้เกิดการดูดซับอิเล็กตรอน ส่วนผสมของ organic sunscreens ที่นิยมใช้สำหรับดูดซับรังสี UVB ในช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร ได้แก่ PABA (p-aminobenzoic acid), octocrylene, salicylates และ cinnamates สาร PABA เป็นสารเคมีที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมของครีมกันแดดเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920 มีข้อดีคือ สามารถกันน้ำได้ แต่พบว่าทำให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหนังที่สัมผัส เช่น ทำให้เกิดอาการแสบร้อน คันหรือเป็นผื่น และมีรายงานว่าการสะสม PABA จะทำให้มีการสร้างสารก่อมะเร็งชนิด carcinogenic nitrosamine การผลิตครีมกันแดดโดยใช้ PABA จึงลดลง ต่อมาในปี ค.ศ.1980 ได้นิยมนำสาร benzophenone-3 (BZ-3, oxybenzone) มาผสมในครีมกันแดดมากที่สุด แม้ว่าในปัจจุบันไม่ได้ใช้ PABA และ BZ-3 ผสมในครีมกันแดดแล้วก็ตาม แต่ยังพบอาการแพ้เนื่องจากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางกันแดด เช่น น้ำหอม สารกันเสีย สารทำให้ข้นเหนียว หรือสารที่ใช้สำหรับการทำละลาย สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง และยังไม่มีการศึกษาความเป็นพิษจากการเกิดปฏิกิริยาอย่างเฉียบพลันและเรื้อรังในการใช้ครีมกันแดด ข้อสำคัญคือ การดูดซึมหลังจากใช้ครีมกันแดด ที่พบว่าหลังจากการใช้ครีมกันแดดที่มีสาร BZ-3 ปริมาณ 0.5 % ทาบนผิวหนัง ได้มีการตรวจพบสารดังกล่าวในปัสสาวะ และหลังจากการใช้เป็นเวลานาน 48 ชั่วโมง มีการตรวจพบสาร BZ-3 ในอวัยวะต่าง ๆ ของหนูทดลอง เช่น ตับ ไต ตับอ่อน หัวใจ กล้ามเนื้อและอวัยวะเพศ และพบในน้ำนมของคน จากการพัฒนาล่าสุดเพื่อใช้ในการดูดซับรังสี UV โดยใช้ sol-gel glass microcapsule นั้น พบว่า ครีมกันแดดที่ดีต้องมีการคงตัวสูง (photostability) ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ง่ายและมีส่วนประกอบที่เหมาะสม รวมทั้งไม่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย (Marier, T. and Korting, HC., 2005)