ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP

 

 

       ชา (Tea) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis (L.) O. Kuntze เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่มีกิ่งก้านสาขามากมาย ชาที่ปลูกเพื่อการค้ามักมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ยๆ เนื่องจากเกษตรกรจะตัดแต่งกิ่งไม่ให้สูงเกินไปเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยว ต้นชาที่อายุ 4-5 ปี สามารถเก็บยอดได้ ยอดชาที่เก็บมีลักษณะเป็นยอดอ่อนและติดใบอ่อนมาประมาณ 2 ใบ ชานิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม โดยประเทศแรกที่เริ่มนำชามาทำเป็นเครื่องดื่มคือ ประเทศจีน และต่อมาความนิยมในการดื่มชาได้แพร่กระจายไปทั่วโลก 
 
 
(ที่มา : https://www.coffeefavour.com/matcha-and-green-tea/)
 
ทั้งนี้ ชาที่ผู้บริโภคดื่มกันทั่วไปสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ตามกรรมวิธีการผลิต คือ
       1. ชาหมัก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำใบชามาผึ่งให้อ่อนตัว นวดเป็นเส้นหรือเม็ด หมักจนใบชามีสีแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม อบให้แห้ง นำไปบดให้เป็นผง เช่น ชาดำ (Black tea)
       2. ชากึ่งหมัก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำใบชามาผึ่งให้อ่อนตัว คั่วให้สุก นวดเป็นเส้นหรือเม็ด อบให้แห้ง อาจแต่งกลิ่นด้วยดอกไม้หรือใบเตยด้วยก็ได้ เช่น ชาอูหลง (Oolong tea)
       3. ชาไม่หมัก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำใบชามาอบด้วยไอน้ำเดือด หรือคั่ว อบให้แห้ง อาจบดเป็นผง เช่น ชาเขียว (Green tea)
 
                                      ชาหมัก                                                                   ชากึ่งหมัก                                                                 ชาไม่หมัก
 
                                
 
                    (ที่มา : https://medthai.com/ชาดำ/)                          (ที่มา : http://www.missteathai.com/                       (ที่มา : https://www.bbcgoodfood.com/
                                                                                                 article/7/ชาอู่หลงเหมาะกับคุณไหม)                          howto/guide/health-benefits-green-tea)
 
       การดื่มชาทุกประเภทล้วนมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ และทำให้ร่างกายสดชื่น เนื่องจากในใบชามีองค์ประกอบของสารสำคัญหลายชนิด ได้แก่ 
       1. โพลีฟีนอล (Polyphenols) ใบชามีสารโพลีฟีนอลหลายชนิด แต่ชนิดที่มีมากที่สุดคือ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เป็นสารชนิดเดียวกันกับฟลาโวนอยด์ที่พบในผักและผลไม้ ซึ่งพบได้มากในชาเขียว มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
       2. คาเฟอีน (Caffeine) ในชามีคาเฟอีนประมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัว ระงับอาการง่วงซึม เพิ่มความกระฉับกระเฉง 
       3. แทนนิน (Tannin) เป็นสารให้รสฝาดในใบชา มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียและเชื้อรา ใช้เป็นยาแก้อาการท้องเสีย แก้บิด โดยสารแทนนินที่พบในชาที่สำคัญคือ คาเทชิน  
       4. คาเทชิน (Catechins) เป็นสารประเภทแทนนินชนิดฟลาโวนอยด์ พบได้มากในชาเขียว มีฤทธิ์ป้องกันแบคทีเรียและไวรัส กำจัดสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง รวมถึงป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ใบชายังประกอบไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น กรดอะมิโน วิตามินซี วิตามินบี วิตามินอี ฟลูออไรด์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ 
       ผู้บริโภคที่ต้องการดื่มชาเพื่อสุขภาพควรเลือกซื้อชาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชา (มผช.120/2558) รวมถึงรู้จักวิธีการดื่มชาอย่างถูกวิธีเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยพบว่าน้ำชาที่จะคงคุณค่าของสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายต้องเป็นน้ำชาที่ชงจากน้ำต้มที่ไม่ร้อนจัดจนเกินไป หากชงเกินกว่า 5 นาที จะเริ่มสูญเสียคุณค่าสารที่มีประโยชน์ และการดื่มชาที่เข้มข้นมากๆ มีผลต่อลำไส้และกระเพาะอาหาร เนื่องจากสารแทนนิน หรือกรดแทนนิก ในชาจะไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ของลำไส้และกระเพาะอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ อาจส่งผลให้ขาดธาตุเหล็กในเลือด ระบบย่อยอาหารผิดปกติ และเกิดอาการท้องผูกได้
 
                                                                                                                                                     สารแทนนิน (Tannin)
                                                                             
 
                                    (ที่มา : https://talk.mthai.com/health/127990.html)                       (ที่มา : https://www.siamchemi.com/แทนนิน/)
 
       จะเห็นได้ว่า การดื่มชามีประโยชน์มากมาย แต่หากดื่มไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน ซึ่งจากรายงานพบว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดื่มชาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายคือ หลังจากรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมง และกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร ผู้ที่ไตทำงานบกพร่อง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคหัวใจ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง ชา : เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ได้จากเอกสารภายในสำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยสามารถสืบค้นได้จากฐานข้อมูลระบบห้องสมุดอัตโนมัติในเว็บไซต์ http://library.dss.go.th/ จากคำสืบค้นคือ 
              - ชา (http://library.dss.go.th/cgi-bin/koha/opac-search.pl?q=ชา) 
              - ชาเขียว (http://library.dss.go.th/cgi-bin/koha/opac-search.pl?q=ชาเขียว)
 
เอกสารอ้างอิง 
ณรงค์ชัย  ปัญญานนทชัย. ชากับสุขภาพ. ชาใบไม้มหัศจรรย์. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ากรุ๊ป, 2548, หน้า 113-126.
ประสานพร  มณฑลธรรม. ส่วนผสมสำคัญของชา. ชา สมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงาม. กรุงเทพฯ : มายิก, 2548, หน้า 39-45.
พินิจ  จันทร และคณะ. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับชา. เครื่องดื่มสมุนไพรอินเทรนด์. กรุงเทพฯ : ปัญญาชน, 2554, หน้า 2-12.
พูกานดา  พิศชมพู. ชาเพื่อสุขภาพและป้องกันโรค และดื่มชาอย่างถูกหลักอนามัยไม่เกิดโทษ. ชาเครื่องดื่มสุขภาพร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : แพลน บี, 2553, หน้า 69-84.
มัชฌิมา. ดื่มชาอย่างไรดี. ต่ออายุด้วยชาบำบัด. กรุงเทพฯ : บีเวลล์ สปีเชียล, 2554, หน้า 69-75.
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชา มผช.120/2558. [ออนไลน์]  [อ้างถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2562]. 
       เข้าถึงจาก : http://tcps.tisi.go.th/pub/tcps0120_58(ชา).pdf